กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เศรษฐกิจไทย ซึ่งเผชิญกับความท้าทายต่างๆ รุมเร้าอยู่แล้ว
CIMB Thai และ KResearch ประเมินว่า เหตุการณ์ทางการเมืองนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจใน ‘ระยะสั้น’ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ด้วย โดยมองว่า ผลกระทบช่องทางหลักมาจากการผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 แต่หากมีการยุบสภา เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession)
พร้อมแนะรัฐบาลใหม่ควรเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในระยะสั้น ไปพร้อมกับการงแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างในระยะยาว
จัดตั้งรัฐบาลล่าช้า เศรษฐกิจยิ่งเสี่ยงมากขึ้น
ดร. อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) ประเมินว่า จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ขาดคุณสมบัติและหลุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาจสร้าง Shock หรือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแค่ชั่วคราว เฉพาะในไตรมาส 3 เท่านั้น แต่ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็จะมีมากขึ้น
“ถ้ามีความเสี่ยงในการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ก็จะยิ่งทำให้ความเสี่ยงเศรษฐกิจมีมากขึ้น แต่โดยภาพรวมเราคิดว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะทำได้เร็ว” ดร. อมรเทพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดร. อมรเทพ แสดงความกังวลว่า ถ้าไม่นับเหตุการณ์ด้านการเมือง ตามข้อมูลภาพรวมเศรษฐกิจและการเงินในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็พบว่า เศรษฐกิจมีความเสี่ยงอยู่แล้ว
โดยผลกระทบจากปัจจัยการเมืองต่อเศรษฐกิจไทย ดร. อมรเทพ มองว่า อาจส่งผ่านมาหลายช่องทางได้แก่ การลงทุนภาคเอกชน ที่อาจจะชะลอตัว หลังนักลงทุนไทยและต่างชาติอาจตัดสินใจ Wait and See ต่อไป ซึ่งอาจทำให้ไทยเสียโอกาสในช่วงกันยายนไป และการเบิกจ่ายงบประมาณ ก็ต้องจับตาดูว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองแล้ว ภาครัฐจะเร่งการเบิกจ่ายได้มากแค่ไหน โดยเฉพาะภาคการก่อสร้าง
สำหรับการท่องเที่ยว ดร. อมรเทพ มองว่า ก็ไม่น่ากระทบ หากไม่มีการประท้วง เนื่องจากนักท่องเที่ยวอาจไม่ได้มองเรื่องการมีหรือไม่มีรัฐบาล แต่อาจมองเรื่องความรุนแรงมากกว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยนักท่องเที่ยวอาจจะพิจารณาคือ มาตรการที่เคยสนับสนุนการท่องเที่ยวในอดีต เช่น มาตรการกระตุ้น ฟรีวีซ่า การเปิดตลาดจะหายไปหรือไม่
KResearch ยังคงประมาณการ GDP ปีนี้ไทยไว้ที่ 1.5%
สอดคล้องกับ ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากเหตุการณ์การเมืองรอบนี้ ขึ้นอยู่กับว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะทำได้รวดเร็วแค่ไหน
พร้อมประเมินว่า เหตุการณ์การเมืองครั้งนี้ อาจกระทบเศรษฐกิจได้ใน 2 มิติหลักๆ ได้แก่ การผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ในช่วงเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ
“การผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 ไม่น่าจะล่าช้า เนื่องจาก ตามกฎหมายแล้ว วุฒิสภาจะต้องพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ภายใน 20 วัน ก่อนจะส่งกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าไม่ส่งกลับมาก็จะหมายความว่า วุฒิสภาเห็นชอบ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเสี่ยงก็ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการจัดตั้งรัฐบาลด้วย”
สำหรับประเด็นการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ ณัฐพร มองว่า เหตุการณ์ทางการเมืองรอบนี้อาจทำให้การเจรจาภาษีสินค้าผ่านทาง (Transshipment) กับทางสหรัฐฯ มีความล่าช้าออกไปได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเร่งส่งสินค้าต่อเนื่อง (Front Loading)
ณัฐพร กล่าวว่า ปัจจุบัน KResearch ยังคงประมาณการ GDP ปีนี้ไทยไว้ที่ 1.5% เนื่องจาก ยังต้องรอดูพัฒนาการของเหตุการณ์การเมืองต่อไป รวมถึงต้องจับตาดูว่า รัฐบาลชุดใหม่จะมีหน้าตาอย่างไร กระนั้น ภาวะ Front Loading ในภาคการส่งออกก็มีโอกาสทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) มี ‘ลดลง’
KKP ประเมิน กรณีงบประมาณล่าช้า ฉุด GDP หายไป 1%
ก่อนหน้านี้ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวในงาน Thailand Focus 2025 ว่า เกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมือง ประเด็นที่ห่วงที่สุด คือ ความล่าช้าของการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569
โดยอธิบายว่า การผ่านพ.ร.บ.งบประมาณหากล่าช้าก็ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อ GDP สูงถึง 1% เนื่องจากการเบิกจ่ายที่สะดุดไปจะกระทบในแง่ของความคาดหวังการลงทุน
หากยุบสภา เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค ‘ในระยะสั้น’
อย่างไรก็ตาม ดร. อมรเทพ กล่าวว่า ในกรณียุบสภา เศรษฐกิจไทยก็มีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ได้ เนื่องมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณในเดือนตุลาคมเป็นต้นไปอาจหยุดชะงัก ขณะที่การเลือกตั้งอาจจะลากยาวไปถึงต้นปีหน้า นอกจากนี้ การลงทุนของภาคเอกชน ทั้งไทยและต่างประเทศอาจ Wait and See ต่อไป ภาคก่อสร้างอาจจะซึมลึกมากกว่านี้ เหตุโครงการใหม่อาจจะยังไม่เกิด คนอาจไม่กล้าใช้จ่าย เนื่องจากขาดความเชื่อมั่น คนรายได้น้อยก็ไม่มีมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐก็ทำให้ไม่มีรายได้ ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศที่จะหนักขึ้น อาจทำให้ภาคการส่งออกติดลบ ซึ่งจะฉุดภาคการผลิตและกำลังซื้อต่อไป
กระนั้น ดร อมรเทพ ก็มองว่า ในอีกด้านหนึ่ง การเลือกตั้งใหม่ก็อาจจะเป็นผลดีในระยะกลาง กล่าวคือ ความไม่แน่นอนต่างๆ จะคลี่คลายลง เศรษฐกิจที่จะโตต่ำซึมก็อาจจะมีแรงส่งก็ได้ หลังจากมีความชัดเจนมากขึ้น รวมทั้ง ในช่วงเลือกตั้งก็มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น เงินก็อาจจะสะพัด
“ไม่จำเป็นต้องห่วง Technical Recession หรือมองด้านลบอย่างเดียว โดยอาจจะต้องดูผลบวกและลบ (Balance) ในระยะกลางและระยะสั้นด้วย”
ดร. อมรเทพ ยังชี้ว่า ต้องติดตามประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาต่อไป แม้ว่าวันนี้ผลกระทบอาจจำกัด แต่ต้องมาดูว่า หลังจากได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว จะจัดการปัญหาความขัดแย้งนี้อย่างไร เนื่องจากความขัดแย้งนี้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวชายแดน การค้าชายแดน ไปจนถึงความเชื่อมั่น
เปิดโจทย์เศรษฐกิจ ฝากถึงรัฐบาลใหม่
ดร. อมรเทพ มีข้อเสนอแนะถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดต่อไปว่า ควรมุ่งความสำคัญไปที่การสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ รวมไปถึงการออกมาตรการประคองระยะสั้น เนื่องจากยังมีคนที่มีรายได้โตไม่ทันรายจ่ายอยู่ รวมไปถึงการพลิกฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับมาเกิดการลงทุนและการท่องเที่ยว
ส่วนมาตรการระยะกลางและระยะยาว ควรมุ่งแก้ไขปัญหาศักยภาพเศรษฐกิจไทยที่ลดลง ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การหาตลาดใหม่ นอกเหนือจากสหรัฐฯ เปิดเสรีทางการค้า การเข้าร่วม CPTPP การเร่งให้เกิดการลงทุน ไปจนถึงยกระดับฝีมือแรงงาน
“ธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) มองว่า เศรษฐกิจปีนี้จะโต 2.3% ปีหน้าโต 1.7% หมายความว่า เฉลี่ยก็ประมาณปีละ 2% เราจะโตเท่านี้อีกยาวแค่ไหน ตอนนี้ศักยภาพเศรษฐกิจเราอยู่ที่เท่าไหร่ ศักยภาพเรากำลังต่ำลงไปเรื่อยๆ” ดร.อมรเทพกล่าว