ส.อ.ท.ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 น่าห่วง! แนะรัฐเร่งแก้ 5 โครงสร้าง ฝ่า 5 ความเสี่ยง ลุ้นคนละครึ่ง พลัส มาตรการลดหย่อนภาษีกระตุ้นเที่ยวเมืองรอง ดันเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ
วันที่ 20 ต.ค. เกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เปรียบเสมือน ‘รถติดหล่ม’ เพราะยังคงมีปัจจัยลบจากเรื่องของปัญหาโครงสร้างยังไม่ถูกแก้ไข ซึ่งต้องเร่งแก้ 5 ข้อ
1.มีวันทำงานน้อยเพราะไทยเป็นสังคมผู้สูงวัย
2.การคอรัปชั่นของระบบราชการรวมถึงกฎหมายที่ล้าหลัง
3.กับดักรายได้ปานกลาง
4.งบประมาณที่ไม่สมดุลในการเบิกจ่าย
5.ระบบการศึกษา
“ปัจจัยที่มาจากความเสี่ยงอื่นๆ คือ 1.ภาษีทรัมป์ สินค้าทุ่มตลาด 2.สงครามระหว่างประเทศ 3.ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา 4.หนี้ครัวเรือน เงินบาทแข็ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีผลต่อการเกษตร และ 5.การเมืองภายในประเทศ ยังคงไม่แน่นอน”
คนละครึ่ง พลัส มาตรการช่วยหนี้เสียอาจทำให้ช่วยดัน GDP ได้อีก 0.4%
ดังนั้น จึงคาดว่าไตรมาส 4 GDP ไทยอาจโตแค่ 0.3% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 GDP โตได้เพียง 2% เท่านั้น
“แต่หากไตรมาส 4 รัฐบาลสามารถเอามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนละครึ่ง พลัส กระตุ้นการลงทุน แก้ปัญหาหนี้ครัว และมีมาตรการช่วยหนี้เสีย (NPL) SMEs ได้อาจทำให้ช่วยดัน GDP ได้อีก 0.4% หรือ GDP โตไปได้ในกรอบ 1.8-2.2%”
ขณะเดียวกัน GDP ปี 2569 ซึ่ง IMF ประเมินว่า GDP ไทยจะโตเพียง 1.6% เท่านั้น เพราะยังคงมีความไม่แน่นอนสูงเช่นเดียวกับปี 2568 ปัจจัยลบมาตากการส่งออกชะลอตัว การผลิตชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร ผลผลิต เช่นน้ำท่วม ภัยแล้ง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยบวกเข้ามาช่วย เช่น การลงทุนยังมีการขยายตัว ซึ่งประเทศไทยเองจะต้องเร่งจัดหาพื้นที่รองรับรวมถึงน้ำ ไฟฟ้า บุคคลากร เพราะจะเกิดการย้ายฐานเข้ามาลงทุนมากขึ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรม คลาวด์ PCB ดาต้าเซ็นต์เตอร์ EV อาหาร BCG และยังคงมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งในปี 2568 ที่จะสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น
“เราอยากให้ทุกพรรคที่จะลงเลือกตั้งครั้งนี้ เอาเรื่องที่เราเสนอไปศึกษาให้มันมีแนวทางออกมาให้ตรงโจทย์ให้มาก อย่างเอานโยบายที่เปนประชานิยมมากจนเกินไป ควรเอาเรื่องที่เอกชนเสนอเพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริง ควรต้องใช้วิธีการปรึกษากัน ไม่ใช่ช่วยฝ่ายนึงแล้วโยนภาระให้อีกฝ่ายหนึ่งมันไม่ใช่การแก้ปัญหา ทุกประเทศปรับตัวหมุนดิ้นแรง ไทยก็เล่นกันต้องดิ้น ตัดสินใจให้เร็ว เพราะจากนี้การแข่งขันโลกจะรุนแรงขึ้น”
เกรียงไกร ระบุอีกว่า ในวันที่ 21 ต.ค.2568 ส.อ.ท. เตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อร่วมกันหาทางออกเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้
“ยอมรับว่าความผันผวนคือเรื่องปกติ แต่ที่ผ่านมาตั้งข้อสังเกตว่าเงินบาทไทยที่เมื่อเวลาแข็งหรืออ่อนค่ามักสูงที่สุดในภูมิภาค นอกจากนี้ยังเตรียมข้อเสนอต่อ ธปท. ในการดูแลค่าเงินบาทเพื่อให้ประเทศไทยไม่เสียเปรียบในการค้าและการแข่งขันโดยเฉพาะกับผู้ส่งออก”
ส่วนกรณีประเด็นเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับใหม่ที่ถูกเสนอโดยพรรคประชาชน ในการปรับแก้เรื่องของเวลาการทำงาน การเพิ่มวันหยุด ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องการให้ภาครัฐทบทวนให้ดี เพราะผลที่เกิดจะมีผลเสียมากกว่า โดยเฉพาะค่าจ้างแรงงานที่จะลดลง
หนุนลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว ปลุกเศรษฐกิจฐานราก
นอกจากนี้หวังว่า คนละครึ่ง พลัส ที่เริ่มลงทะเบียนกันในวันนี้ (20 ต.ค.) จะเป็นแรงขับสำคัญในการเพิ่มกำลังซื้อและกระจายเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงปลายปี โดยเฉพาะร้านค้าชุมชนและผู้ค้ารายย่อยที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการจับจ่ายที่เพิ่มขึ้น มองว่าโครงการนี้จะช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากในช่วงที่ต้นทุนสูงและภาษีทยอยปรับขึ้น
ส.อ.ท. ยังสนับสนุนแนวนโยบายของเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่แจ้งว่าประชาชนจะให้ลดหย่อนภาษี 20,000 บาท เพื่อที่จะนำไปท่องเที่ยว เริ่มวันที่ 29 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่ถ้าไปท่องเที่ยวเมืองรอง สามารถนำไปหักลดหย่อนได้ 1.5 เท่า ไปใช้จ่ายเมืองรอง 10,000 บาท จะได้หักลดหย่อนภาษี 15,000 บาท แนวคิดนี้ถือว่าเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าจะกระตุ้นให้เงินกระจายไปเมืองรองได้
นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมเสนอให้โรงแรมโดยเฉพาะในเมืองรอง สามารถหักภาษีจากค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโรงแรม เช่น การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ติดโซลาร์เซลล์ หรือลดการใช้น้ำ ลดของเสีย ได้ในอัตรา 2 เท่า ก็ถือว่า หากทำได้จริง ก็จะช่วยส่งเสริมความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว รวมทั้งช่วยปลุกตลาดท่องเที่ยว-ค้าขายในต่างจังหวัดให้กลับมาคึกคัก กระจายรายได้ทั่วถึงจากเมืองหลักสู่ชุมชนฐานรากทั่วประเทศ
ภาพ: Sean Murphy / Getty image