วันนี้ (5 มีนาคม) กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อส่งมอบข้อมูลความผิดปกติของกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในปี 2567 และการติดตามความคืบหน้าในกระบวนการสอบสวน
นอกจากนี้ยังได้แนบภาพหลักฐาน ประกอบด้วย ภาพผู้สมัคร สว. 67 กลุ่มเสื้อเหลืองสูทดำ ขึ้นรถทะเบียนบุรีรัมย์กลับด้วยกัน, ภาพ Pattern การโหวต เขียนเลขเหมือนกันทุกช่อง ส่งกลุ่มละ 7 คนเป็น สว. รวมถึงบทวิเคราะห์การเลือก สว. 67 ระดับประเทศ ใน 8 จังหวัดได้ใครตัวจริงใครตัวโหวต
พบปัญหาตั้งแต่วันสมัคร-วันเลือกระดับประเทศ
กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญแถลงว่า นับตั้งแต่ปี 2567 ที่ สว. ซึ่งมาจากการสรรหาและคัดเลือกโดยคณะรัฐประหารหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้หมดวาระลง และจะต้องมีการเลือก สว. ชุดใหม่ โดยระบบการเลือกกันเองจาก 20 กลุ่มอาชีพหรือความรู้ ความเชี่ยวชาญ
ทางกลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญได้ติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่อย่างต่อเนื่อง จึงเห็นว่า กระบวนการเลือกดังกล่าวเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมและมีข้อเรียกร้องไปยัง สว. ชุดใหม่ ให้ดำเนินการผลักดันการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวจะต้องอาศัยเสียงเห็นชอบจาก สว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม
ขณะเดียวกัน เนื่องจากระบบการเลือก สว. เป็นระบบการเลือกกันเองจาก 20 กลุ่มอาชีพหรือความรู้ ความเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นระบบที่ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกเหมือนการเลือกตั้ง ทางกลุ่มจึงได้รณรงค์ให้ประชาชนที่มีสิทธิสมัคร สว. และเปิดตัว Senate67.com เพื่อหวังเป็นสื่อกลางในการให้ข้อมูลกับประชาชนในการติดตามบรรดาผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. ว่ามีประวัติ ผลงาน หรือเป้าหมายทางการเมืองอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน
แต่ตลอดเส้นทางของการผลักดัน ทางกลุ่มกลับพบปัญหาเรื่องการมีส่วนร่วมตั้งแต่การเปิดรับสมัครไปจนถึงกระบวนการคัดเลือก สว. ในระดับประเทศ ตั้งแต่กระบวนการประชาสัมพันธ์หรือส่งต่อข้อมูลข่าวสารให้พี่น้องประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้า คลุมเครือ และไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่โดยตรงของ กกต. อย่างปฏิเสธไม่ได้
ต่อมาในขั้นตอนการเปิดรับสมัคร สว. ก็พบปัญหาการรับสมัครเป็นไปอย่างล่าช้า มีอุปสรรคที่มาจากความไม่รู้และไม่เข้าใจตัวบทกฎหมายและระเบียบของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากมีการตีความคุณสมบัติหรือเอกสารหลักฐานที่ใช้ในการสมัครแตกต่างกันไปในแต่ละอำเภอ
เมื่อเข้าสู่กระบวนการแนะนำตัวผู้สมัคร สว. ก็ยังพบว่า ภายใต้ระเบียบที่ กกต. กำหนด ได้กีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งผลให้กระบวนการแนะนำตัวเป็นไปอย่างปิดลับและเอื้อต่อการทุจริตในการเลือก สว. เพราะไม่ได้เปิดให้ตรวจสอบ จนกระทั่งศาลปกครองได้มีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบ กกต. และนำมาสู่ระเบียบใหม่
ต่อมาเมื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งแต่ระดับอำเภอไปจนถึงระดับประเทศ ทางกลุ่มก็ต้องพบอุปสรรคจากการที่ กกต. ไม่ยอมอำนวยความสะดวกอย่างเพียงพอในการสังเกตการณ์กระบวนการเลือก และพบว่า ไม่มีการเปิดเผยคะแนนดิบในการเลือกแต่ละระดับ รวมถึงไม่เปิดเผยบันทึกภาพและเสียงในการเลือกกันเองของแต่ละกลุ่มอาชีพในทุกระดับ
8 ความผิดปกติ กระบวนการเลือกกันเอง
นอกจากนี้ จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของภาคประชาสังคม นำโดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ยังทำให้พบความผิดปกติในกระบวนการเลือกกันเอง โดยเฉพาะในการเลือกระดับประเทศ ดังนี้
- ในรอบเลือกกันเอง มีกลุ่มที่คะแนนสูงมากๆ ระหว่าง 30-50 คะแนน ทิ้งห่างจากผู้สมัครส่วนใหญ่
- หลังรอบเลือกกันเอง มี 8 จังหวัดที่มีผู้สมัคร สว. ผ่านเข้าสู่รอบเลือกไขว้เกือบทั้งจังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สตูล เลย อำนาจเจริญ ยโสธร สุรินทร์ ซึ่งล้วนเป็นจังหวัดที่อยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทย
- ในรอบเลือกไขว้ มีผู้สมัครจำนวนมากที่ไม่มีคะแนนเลย ไม่เลือกตัวเอง ซึ่งผู้สมัครกลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากจังหวัดที่อยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐ โดยเห็นชัดว่าใครเป็นผู้ที่เข้ามาโยนคะแนนให้กับคนอื่น
- ในรอบเลือกไขว้ มีกลุ่มผู้สมัครที่ได้คะแนนนำจน ‘ล้นกระดาน’ อย่างผิดปกติ และผู้สมัครกลุ่มนี้ยังมีคะแนนเกาะกลุ่มกันอย่างเป็นระบบ โดยผู้สมัครกลุ่มนี้ จะมีผู้สมัครที่ได้คะแนนนำกลุ่มละ 6 คน เท่าๆ กัน
- เมื่อดูตั้งแต่การเลือกระดับอำเภอจนถึงระดับประเทศ จะพบปรากฏการณ์ ‘ดาวค้างฟ้า’ ที่มีผู้สมัคร สว. บางคน ได้คะแนน ‘ทิ้งห่าง’ ชนะแบบลอยลำทุกระดับจนได้เป็น สว. ซึ่งก็มาจากกลุ่ม 8 จังหวัดที่มีผู้สมัคร สว. ผ่านเข้าสู่รอบเลือกไขว้เกือบทั้งจังหวัด
- จากข้อมูลของผู้สังเกตการณ์ พบว่า มีการลงคะแนนเป็นรูปแบบเดียวกัน เรียงหมายเลขเหมือนกันทั้งหมด และผู้สมัครที่ได้รับเลือกจากระบบนี้ก็มาจากกลุ่ม 8 จังหวัดที่มีผู้สมัคร สว. ผ่านเข้าสู่รอบเลือกไขว้เกือบทั้งจังหวัด
ควรตรวจสอบตั้งแต่วันเลือกตั้ง
จากความผิดปกติดังกล่าว ทางกลุ่มเห็นว่า องค์กรที่มีอำนาจและความรับผิดชอบในการสืบสวนสอบสวนความผิดปกติของการเลือก สว. ชุดใหม่ คือ กกต.
หาก กกต. ทำหน้าที่เก็บข้อมูลความผิดปกติตั้งแต่วันเลือกและรีบตรวจสอบทันทีหลังเลือก สว. เสร็จ สังคมจะได้รับทราบข้อเท็จจริงและยุติข้อกล่าวหาไปนานแล้ว โดยไม่ต้องพึ่งพากรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จะต้องถกเถียงกันว่า DSI จะพิจารณาและลงมติว่าจะรับข้อกล่าวหาเกี่ยวกับขบวนการโกงการเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนในข้อหา ‘อั้งยี่’ และข้อหาอื่นๆ หรือไม่
กกต. มีข้อมูล-สืบสวนได้ง่ายกว่าองค์กรอื่น
ทั้งนี้ ทางกลุ่มเชื่อว่า กกต. เป็นผู้ที่มีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับกระบวนการเลือก สว. ในปี 2567 ข้อมูลที่ผิดปกติเหล่านี้ ล้วนอยู่ในมือของสำนักงาน กกต. ตั้งแต่แรก และ กกต. เป็นองค์กรที่มีความสามารถที่จะเริ่มการสืบสวนสอบสวนให้เสร็จได้โดยเร็ว โดยง่ายที่สุดกว่าองค์กรอื่น
ดังนั้น หาก กกต. ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองเช่นนี้ ประชาชนจึงต้องหวังพึ่งพาอำนาจขององค์กรอื่นเข้ามาทำแทน และหากองค์กรอื่นสามารถแสดงบทบาทในการสืบสวนและเปิดเผยข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพกว่าได้ กกต. อาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย
สุดท้ายนี้ ทางกลุ่มมีความประสงค์นำข้อมูลและข้อสังเกตต่อความผิดปกติในกระบวนการเลือก สว. มาส่งมอบให้กับ กกต. เพื่อเรียกร้องให้ กกต. รีบทำหน้าที่โดยตรวจสอบและสรุปผลการตรวจสอบเกี่ยวกับข้อกล่าวหาต่อการโกงการเลือก สว. โดยเร็ว