นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าว เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในวันนี้ (10 ธันวาคม) โดยกล่าวถึง 4 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ
โฆษกกระทรวงต่างประเทศสรุปการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ดังนี้
1. กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือประท้วงถึงกัมพูชาแล้ว 2 ฉบับ เรียกร้องให้กัมพูชายุติการคุกคามอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงยุติการกระทำยั่วยุต่างๆ
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้บรรยายสรุปแก่คณะทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม และจะมีการจัด briefing เช่นนี้ให้คณะทูตอยู่เป็นระยะ
3. เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (UN Secretary General: UNSG) และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council: UNSC) เพื่อแจ้งการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย หลังฝ่ายกัมพูชาเริ่มโจมตีไทยอย่างไม่เลือกเป้าหมาย จนเป็นเหตุให้ประชาชนกว่า 400,000 คนต้องอพยพอย่างเร่งด่วน พร้อมชี้แจง ‘ความจำเป็น’ ของไทยในการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทย และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันกดดันกัมพูชาให้ยุติการยั่วยุและความเป็นปรปักษ์ เพื่อให้สามารถกลับมาแก้ไขปัญหาร่วมกับไทยได้โดยสันติวิธี
4. สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของไทยได้ดำเนินการเชิงรุกในการชี้แจงข้อเท็จจริงและจุดยืนของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ให้แก่หน่วยงานในประเทศเจ้าบ้าน เพื่อให้ทั่วโลกได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันต่อสถานการณ์
5. กระทรวงการต่างประเทศได้เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับสื่อต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดย สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศหลักหลายสำนัก อาทิ CNN, BBC, Channel News Asia (CNA), Al Jazeera, Reuters และ The New York Times เป็นต้น การให้ข่าวนี้เป็น ‘การดำเนินการเชิงรุกด้านประชาสัมพันธ์’ เพื่อให้ประชาคมระหว่างประเทศได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง รอบด้าน ทันต่อเวลา และเพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชา
ทั้งนี้ ตามที่มีสื่อบางสำนักรายงานว่า ไทยตอบรับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง เมื่อวานตอน 23.00 น. นั้น โฆษกกระทรวงต่างประเทศขอเรียนว่า ข่าวดังกล่าวเป็นข่าว ‘ไม่มีมูลความจริง’ โดยนายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบรับข้อเสนอใดๆ จากฝ่ายมาเลเซีย
2. การลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT)
เมื่อวานนี้ (9 ธันวาคม) คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (AOT Thailand) ได้ลงพื้นที่ ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปพัฒนาการของสถานการณ์การปะทะ และข้อมูลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจากเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 7-8 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะ AOT ยังได้เข้าเยี่ยมและมอบกระเช้าให้กำลังใจแก่ทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บด้วย ไทยยังคงยึดมั่นในความโปร่งใส เพื่อเปิดให้กลไกอิสระของอาเซียนเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางในทุกขั้นตอน
3. การดำเนินการในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา)
รัฐมนตรีต่างประเทศได้เดินทางไปร่วมการประชุมอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ระหว่างวันที่ 4-5 ธันวาคม ที่นครเจนีวาโดยได้แจ้งที่ประชุมถึงข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์เรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ทหารไทยทุพพลภาพถาวรถึง 7 คน และบาดเจ็บอีกหลายคน รัฐมนตรีต่างประเทศยังได้เรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบและความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกับไทย โดยที่การวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทยนั้นเป็น ‘การละเมิดอนุสัญญาอย่างชัดแจ้ง’
ไทยได้ขอคำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชาผ่านเลขาธิการสหประชาชาติแล้วตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ แต่ได้รับคำชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น เมื่อพิจารณาว่ากัมพูชาได้บ่ายเบี่ยงเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกับฝ่ายไทยภายใต้กลไกทวิภาคีมาโดยตลอด ไทยจึง ‘ไม่มีทางเลือกอื่น’ นอกจากขอให้เลขาธิการสหประชาชาติอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Finding Mission) ที่เป็นอิสระ ตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาฯ คำขอของไทยในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการขอให้ใช้กลไกดังกล่าวภายใต้อนุสัญญาฯ
ในขณะนี้ ‘ยังไม่สามารถบอกเงื่อนเวลาที่ชัดเจนได้’ แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะประสานงานกับหน่วยงานภายใต้อนุสัญญาฯ และสหประชาชาติเพื่อผลักดันเรื่องนี้ เพื่อให้กัมพูชารับผิดชอบการกระทำของตนเอง ประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของไทยต่อไป เพื่อประกัน ‘ความปลอดภัยของประชาชน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด
4. การประกาศแจ้งเตือนคนไทยเกี่ยวกับกัมพูชา
ปัจจุบันมีคนไทยอยู่ที่กัมพูชาประมาณ 600 ถึงไม่เกิน 1,200 คน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และสถานกงสุลได้ติดต่อและแจ้งข้อมูลพัฒนาการของสถานการณ์ให้กลุ่มคนไทยทราบอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีความไม่แน่นอน กระทรวงต่างประเทศโดยกรมกงสุลจึงได้ออกประกาศแจ้งเตือน ขอให้คนไทยในกัมพูชาที่ไม่มีเหตุจำเป็นในการพำนัก พิจารณาเดินทางออกจากกัมพูชา และขอให้คนไทยที่ไม่มีเหตุจำเป็น งดเว้นการเดินทางไปกัมพูชา จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย การออกประกาศดังกล่าวคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ
ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือมีเหตุฉุกเฉิน สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือ ได้ที่
- สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ (+855) 77 888 114
- สถานกงสุล ณ เมืองเสียมราฐ (+855) 86 608 999
- หมายเลขฉุกเฉินกรมคุ้มครองฯ กรมการกงสุล 096 216 1837, 096 183 6736, 064 564 7573
- Call Center กรมการกงสุล (+66) 2 572 8442 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
หรือผ่านแอปพลิเคชัน Thai Consular
สุดท้ายนี้ ขอให้มั่นใจว่าการดำเนินการต่างๆ ของหน่วยงานไทย มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ เพื่อรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และประกันความปลอดภัยของประชาชน จึงขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนและประชาชนทุกท่าน บริโภคข่าวสารด้วยความระมัดระวังโดยการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ เพื่อส่งสารที่ถูกต้องไปยังประชาคมระหว่างประเทศ
แฟ้มภาพ: ศวิตา พูลเสถียร / THE STANDARD
อ้างอิง:
- กระทรวงการต่างประเทศ


