อิปซอสส์ (Ipsos) บริษัทวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ได้เผยแพร่รายงานวิจัยชุดพิเศษ Thailand Auto Trend-The Rise of Pure Electric Cars ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยมีปัจจัยหนุนจากการสนับสนุนของภาครัฐ และทัศนคติของผู้บริโภคที่เปิดรับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
เสถียรสิทธิ พรบุญยรัตน์ Associate Director ของอิปซอสส์ เปิดเผยว่า แม้ตลาดรถยนต์โดยรวมของไทยจะมียอดขายลดลงถึงระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่ปี 2552 อันเนื่องมาจากปัจจัยหนี้ครัวเรือนและความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในไตรมาสแรกของปี 2568 ยอดขายรถยนต์กลุ่ม xEV (BEV, PHEV และ HEV) เพิ่มขึ้นถึง 67,000 คัน สะท้อนการเติบโต 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และที่น่าสนใจคือยอดขายกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 40.2% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในไตรมาสนี้
ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้คือรถยนต์ไฮบริด (HEV) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาด xEV ถึง 62% บ่งชี้ถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
ในด้านสภาวะการแข่งขัน ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ (BEV) ข้อมูลจากงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 46 ยืนยันแนวโน้มนี้ โดย 8 ใน 15 แบรนด์ที่มีการจองสูงสุดเป็นแบรนด์จากจีน แซงหน้าคู่แข่งจากญี่ปุ่นและยุโรป
แบรนด์ที่มียอดจองสูงสุดคือ BYD (10,353 คัน) ตามมาด้วย GAC AION (7,018 คัน), Deepal (6,589 คัน) และ GWM (4,959 คัน) การรุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่ราคาเข้าถึงได้และมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด
การเติบโตนี้สอดรับกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาคเอเชีย (EV Hub) โดยตั้งเป้าผลิตรถยนต์ EV ให้ได้ 30% ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030 นโยบายสนับสนุนต่างๆ เช่น การลดภาษี, เงินอุดหนุน และการพัฒนาสถานีชาร์จ ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค
ผลสำรวจพบว่า เมื่อถามถึงรถยนต์คันต่อไป 33% ของเจ้าของรถยนต์ระบุว่าจะพิจารณารถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และอีก 32% พิจารณารถยนต์ไฮบริด (HEV) ขณะที่มีเพียง 28% ที่จะพิจารณารถยนต์สันดาป (ICE)
แนวโน้มนี้เห็นได้ชัดในกลุ่มอายุ 30-44 ปี ที่ 34% สนใจ BEV และกลุ่มอายุ 40-65 ปี ที่ 32% สนใจ BEV และ 32% สนใจ HEV ส่วนกลุ่มอายุ 20-29 ปี ยังคงสนใจ HEV มากที่สุด (33%)
ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการพิจารณาซื้อรถ EV คือ ราคาและมูลค่า (57%) ตามมาด้วยความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม (51%) และเทคโนโลยีที่เหนือกว่า (49%) ในอดีตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมักมีราคาสูง แต่ในยุคนี้ ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถ EV ที่มีสมรรถนะสูงและฟีเจอร์ทันสมัยในราคาที่เข้าถึงได้
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจยังเผยถึงอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคยังลังเล โดยความกังวลอันดับหนึ่งคือเรื่องระยะทางวิ่งและแบตเตอรี่ (60%) ตามมาด้วยข้อกังวลด้านความปลอดภัยและความเสี่ยงจากแบตเตอรี่ (54%)
อุปสรรคสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ต้นทุนการเป็นเจ้าของโดยรวม (51%), สถานีชาร์จที่ไม่เพียงพอ (50%) และมูลค่าการขายต่อที่ไม่แน่นอน (42%) นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังกังวลเรื่องบริการหลังการขาย ความชำนาญในการจัดหาอะไหล่ ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ในอากาศร้อนชื้น และความน่าเชื่อถือของซอฟต์แวร์ในระยะยาว
เสถียรสิทธิ ให้ความเห็นว่า รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) จะยังคงมีบทบาทสำคัญและไม่หายไปจากตลาดในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะในกลุ่มรถกระบะซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในไทย
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตก็ยังคงพัฒนารถยนต์ ICE ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การประหยัดน้ำมัน การอยู่ร่วมกันของทั้งสองเทคโนโลยีนี้สะท้อนถึงตลาดที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน


 
         
           
                                 
            





 
                                                     
                                         
                                             
                                                 
                                                     
                                                         
                 
                 
                 
                 
                 
                