วันนี้ (3 พฤศจิกายน) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ, พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม, พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย, พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก, พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ, พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ และพล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
สิริพงศ์กล่าวว่า การแถลงข่าววันนี้เพื่อสร้างความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน เหตุการณ์ชายแดน พร้อมเริ่มต้นด้วยการย้อนถึงเหตุการณ์ความสูญเสียในอดีต ตั้งแต่การขุดคูเลตของกัมพูชา, เหตุทหารไทย 3 นายเหยียบกับระเบิดจนสูญเสียขาในพื้นที่ตรวจการฝั่งไทย, และเหตุระเบิดลูกแรกที่ตกลงปั๊มน้ำมันใน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิตพลเรือน 8 คน (รวมเด็ก 8 ขวบ) และการปะทะโต้ตอบกัน 4 วัน 5 คืน ทำให้สูญเสียทหารอีกนับ 10 ราย และบาดเจ็บ 666 คน
“เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีความโกรธแค้นในความสูญเสีย และความเสียใจ” สิริพงศ์กล่าว
สถานการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดยมีสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเป็นผู้สังเกตการณ์ ทำให้การดำเนินการใดๆ ต่อจากนี้ถูกสังคมโลกจับตามอง
สิริพงศ์ย้ำว่า แม้ไทยและกัมพูชามีพื้นที่ติดกันและไม่สามารถเปลี่ยนข้อเท็จจริงนี้ได้ “เราไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่วันนี้เรากำลังพูดถึงเมื่อมีแผ่นดินที่ติดกัน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้จะเดินหน้าอย่างไร”
สิริพงศ์กล่าวว่า ขณะนี้มีการลงนามในเอกสารเพิ่มเติมคือ Joint Declaration เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อกัน โดยไทยยึดมั่นใน 4 ข้อหลัก และย้ำว่า ประเทศไม่สามารถเดินหน้าได้ด้วยข่าวลือ แต่ประเทศจะเดินหน้าด้วยข้อเท็จจริง โดยกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานกันอย่างใกล้ชิด
“รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ จะนำความสงบสุขกลับมาคืนสู่คนไทยทุกคนในประเทศนี้ โดยยึดหลักที่เราจะไม่เสียดินแดน ไม่เสียอธิปไตย แม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียว ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้เลยว่า ตั้งแต่นายอนุทิน มาเป็นนายกรัฐมนตรี เราไม่มีดินแดนไทยไหน แม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียวที่เราสูญเสียให้กัมพูชา เราไม่มีอวัยวะชิ้นไหน ของทหารผู้เสียสละที่จะเสียไปจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เราไม่ได้เห็นเลือดของทหารเหล่านั้น หยดลงบนผืนดินไทย และที่สำคัญที่สุดเราไม่เห็นเลือดของประชาชนที่ต้องไหลลงผืนดินไทยตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นแนวทางต่อไป รัฐบาลมีความตั้งใจอยากจะทำให้ทุกคนเป็นปกติสุข ภายใต้เงื่อนไขรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของไทย”
ส่วนการเปิดด่านยืนยันว่า นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาก ยังไม่มีการพูดเรื่องเปิดด่าน ซึ่งการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พิจารณา ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาต้องทำตามเงื่อนไขในข้อแถลง 4 ข้อ และขอให้ท่านทุกท่านมั่นใจว่า รัฐบาลไทยไม่ย่อหย่อน และไม่มีทางที่จะย่อหย่อนต่อกัมพูชาอย่างแน่นอน
โฆษกรัฐบาลยังพูดถึงประเด็นเรื่อง 18 ทางกัมพูชา โดยยืนยันว่า กระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อกัมพูชาได้ทำตามข้อตกลง 4 ข้อทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินว่า กัมพูชาได้ทำตามข้อตกลงหรือไม่
เมื่อถามว่า แม้ว่า 1 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลไม่ได้เสียดินแดน แต่ความรู้สึกของประชาชนที่เสียปราสาทตาควาย, ปราสาทคนา และเนิน 677 รัฐบาลจะเอาอะไรไปเจรจาไม่ให้ไทยเสียประโยชน์ โฆษกรัฐบาลระบุว่า เรื่องความรุนแรงได้จบไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม รัฐบาลไม่สามารถที่จะไปใช้กำลังรุกรานก่อนได้ แต่แนวทางที่จะทำก็คือ สันติวิธีการเจรจา ในเรื่องของการปักปันเขตแดน พูดคุยข้อพิพาทที่เป็นปัญหา ซึ่งต้องเป็นเรื่องที่ต้องมาพูดคุยกันในระดับทวิภาคีร่วม ซึ่งหมายถึงทุกพื้นที่ ซึ่งยังไม่มีกรอบเวลาในระยะสั้น ซึ่งต้องดำเนินการตาม 4 ข้อตกลงก่อน
จับตา 14 พ.ย. ไทยรอคำตอบกัมพูชา ก่อนเริ่มวางหลักเขตแดนชั่วคราว
ด้านเบญจมินทร์ กล่าวว่า ทางฝ่ายกัมพูชาอยู่ระหว่างร่างคําแนะนําทางเทคนิคในการสํารวจหลักเขตแดนชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน ส่วนฝ่ายไทยได้จัดทําร่างและเสนอไปแล้ว อยู่ระหว่างรอคําตอบในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 และเริ่มสำรวจเพื่อวางหลักเขตแดนชั่วคราวในวันที่ 17 พฤศจิกายน พร้อมเสนอให้รัฐบาลแต่ละฝ่ายเห็นชอบ
เบญจมินทร์ ยืนยันว่าการวางหลักเขตแดนชั่วคราว เพื่อการสํารวจเท่านั้นไม่ได้กระทบต่อสิทธิของไทยและกัมพูชา ในเขตแดนทางบกตามกฎหมายของประเทศ และจะมีการประชุม JBC อีกครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้าที่ทั้งสองฝ่ายดําเนินการในช่วงต้นเดือนมกราคม 2569
เร่งถอนอาวุธหนัก-เก็บกู้ทุ่นระเบิด ย้ำไม่มีการถอนกำลังป้องกันชายแดน
พล.ร.ต. สุรสันต์กล่าวว่า กลไก GBC ทำงานร่วมกับ JBC และมีการประชุมสมัยวิสามัญ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่าท้ายที่สุดการเจรจาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่นำสองฝ่ายเข้าสู่สันติ
ข้อตกลงจากการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม คือหยุดยิงโดยอาวุธทุกชนิด ไม่มีการเคลื่อนย้ายตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ไม่มีการเพิ่มกำลังเข้ามาตลอดแนวชายแดน ละเว้นการยั่วยุที่อาจจะนำไปสู่ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ละเว้นการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร หรือการเสริมความมั่นคงของที่มั่นทหาร งดเว้นการใช้กำลังทุกประเภทต่อพลเรือน และเป้าหมายทางพลเรือนโดยเด็ดขาด กรณีที่มีการขัดกันด้วยอาวุธทุกชนิด ให้ทั้งสองฝ่ายหารือกันในระดับพื้นที่ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เร็วที่สุด
ส่วนข้อตกลงในวันที่ 10 กันยายน ได้ร่วมหยิบยกในประเด็น 4 ข้อ คือ การถอนอาวุธหนัก เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบปรามสแกมเมอร์ และการฟื้นฟูนำพื้นที่ที่มีปัญหาไปสู่ความสงบ ทั้งนี้ มีการถอนอาวุธหนักจะแล้วเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมระยะเวลา 2 เดือน ยืนยันว่า เป็นแค่การถอนอาวุธหนัก กองกำลังป้องกันชายแดนที่มีการวางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นไม่มีการถอนกำลังใดๆ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ก็จะปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม
สำหรับภารกิจของ AOT เรามีกลไกเป็นตัวกำกับ เพื่อให้รายงานไปยังหน่วยขึ้นตรงหากมีปัญหาใดๆ ทั้งสองฝ่ายจะรายงานไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้สร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่ง ยืนยันว่า เรามีกลไกตรวจสอบและการปฎิบัติเรียบร้อย
ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดถือเป็นประเด็นสำคัญ โดยมีการหารือ และจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และกำหนดพื้นที่นำร่องในการเก็บกู้ภายใน 1 เดือน โดยฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ตลอดแนวชายแดน ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้เสนอมา 1 พื้นที่เท่านั้น ซึ่งในการปฏิบัติการมีข้อตกลงกับกัมพูชาลักษณะการทำงาน จะแบ่งงานออกไปว่าอธิปไตยของใครก็เป็นของคนนั้น
พล.ร.ต. สุรสันต์กล่าวอีกว่า การจัดตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force) ยังมีแผนปฏิบัติการในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ ซึ่งขณะนี้มีการจัดส่งรายชื่อ และจัดตั้งคณะขึ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนการลงนามกันของทั้งสองประเทศเห็นถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว และให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของที่ประชุม GBC
ตำรวจไทย-กัมพูชา จับมือลงนามแผน 2 ปี จัดการสแกมเมอร์
ด้าน พล.ต.ต. ศิริวัฒน์กล่าวว่า ไทยได้ประสานความร่วมมือกับประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2564 ในการรับตัวคนไทยที่ถูกหลอกลวง และที่สมัครใจ จนกระทั่งปี 2568 ได้มีการส่งตัวคนไทยกลับมาดำเนินคดีรวมแล้ว 249 คน ทั้งนี้ในเดือนกันยายน ทางไทยได้มอบข้อมูลเป้าหมายสแกมเมอร์ กว่า 62 เป้าหมายในกัมพูชา ให้กัมพูชาได้ตรวจสอบ
นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ลงนามแผนปฏิบัติการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ 8 ข้อ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา ครอบคลุมการแบ่งปันข่าวกรอง, การปฏิบัติการพร้อมกัน, การส่งผู้ต้องสงสัยและคุ้มครองเหยื่อ โดยมีคณะทำงานร่วม และมีผลบังคับใช้ 2 ปี ตั้งแต่ 23 ตุลาคม 68-22 ตุลาคม 70 และลักษณะข้อตกลง เป็นความร่วมมือเสริมไม่แทนที่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
พล.ต.ต. ศิริวัฒน์ ยังกล่าวต่อว่า ในส่วนของในประเทศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ มีการตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งตั้งศูนย์วอร์รูม และประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถดำเนินการคืนเงินให้กับผู้เสียหายเร็วสุดภายใน 9 วัน จำนวนกว่า 250 ล้านบาท



