วันนี้ (9 มีนาคม) บล.ไทยพาณิชย์ รายงานว่าค่าเงินบาทเปิดเมื่อตอนเช้าที่ระดับ 31.40 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 31.42 บาทต่อดอลลาร์ เพราะเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าอย่างรวดเร็วจากความผันผวนต่างๆ เช่น
- หลายรัฐในฝั่งสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อต่อสู้กับวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 ลดลง 1.71% ขณะที่ Euro Stoxx 50 ร่วงลงถึง 3.91%
- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซื้อขายอยู่ที่ระดับ 36.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือคิดเป็นการปรับตัวลง 45% นับจากต้นปี ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรงหลังจากที่กลุ่ม OPEC+ ไม่สามารถหาข้อสรุปเรื่องการลดกำลังการผลิตได้ ทั้งยังมีข่าวว่าซาอุดีอาระเบียจะกลับไปผลิตน้ำมันเต็มกำลัง จึงกดดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงต่อในวันนี้ถึง 20%
- ล่าสุดผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวลงแตะระดับ 0.54% ในเช้าวันนี้ ต่างกับยีลด์เยอรมนีและญี่ปุ่นที่ไม่ลงลึกไปกว่าเดิมมากที่ระดับ -0.71% และ -0.14% ตามลำดับ
ทั้งนี้หากดูค่าเงินเยนญี่ปุ่นร่วงลงแตะระดับ 104.13 เยนต่อดอลลาร์ เงินยูโรที่วิ่งขึ้นแตะระดับ 1.137 ดอลลาร์ต่อยูโร และราคาทองปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่ากรอบเงินบาทวันนี้จะอยู่ที่ 31.30-31.50 บาทต่อดอลลาร์
ฝั่งของเงินบาท จุดที่น่าสนใจในวันนี้เชื่อว่าอยู่ที่ทิศทางของค่าเงินที่เคลื่อนไหวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมีโอกาสอ่อนค่าลงได้ตามราคาน้ำมัน เนื่องจากความเสี่ยงของบริษัทน้ำมันใหญ่ๆ ในประเทศเหล่านี้ที่อาจเกิดปัญหาสภาพคล่อง ผสมกับค่าเงิน Developed Asia ที่แข็งค่าเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนเอเชียย้ายเงินกลับเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยระยะสั้น จึงเชื่อว่าเงินบาทอาจแกว่งตัวอ่อนค่าได้ก่อนจากภาพรวมตลาดที่ปิดรับความเสี่ยง ขณะที่ในระยะยาวก็มีโอกาสแข็งค่ากลับได้จากปริมาณการนำเข้าที่น่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
ทั้งนี้กรอบค่าเงินบาทรายสัปดาห์อยู่ที่ระดับ 31.07-31.76 บาทต่อดอลลาร์
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
