ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 bps พร้อมส่งสัญญาณว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้งในปีนี้ ภายหลังถูกกดดันอย่างหนักจากทำเนียบขาวให้เร่งผ่อนคลายต้นทุนการกู้ยืม
สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ผ่านรายการ Morning Wealth ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ของ Fed นับว่าสอดคล้องกับการคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ที่มองว่า Fed จะลดดอกเบี้ยเพียง 0.25 bps
ด้วยเหตุนี้ การตอบรับของตลาดจึงไม่รุนแรง เพราะนักลงทุนได้สะท้อนความคาดหวังของราคาสินทรัพย์ (priced in) ไว้ล่วงหน้าแล้ว
สำหรับแนวโน้มการแข็งค่าของสกุลเงินบาท สรพลคาดว่า แนวรับจะยังคงอยู่ที่ 31.50 บาทต่อไป ด้วยเหตุที่ Fed มีแนวโน้มชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 2026
เช่นเดียวกับ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าจะลดลงอีก 1 ครั้งในปีต่อไป เนื่องจากสรพลมองว่า พื้นที่การคลัง (Policy Space) ไทยเหลือไม่มาก แนะจับตาแนวโน้มความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง
เงินเฟ้อ ปัจจัย Fed ไม่เร่งลดดอกเบี้ย
ขณะเดียวกัน Fed ได้ปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อปีนี้และปีต่อไปขึ้นมา 0.2% อยู่ที่ประมาณ 2.6% พร้อมกับปรับประมาณการ GDP เพิ่มอีก 0.2% เช่นกัน อยู่ที่ 1.6% ในปีนี้ และ 1.8% ในปี 2026
โดยสรพลมองว่า ด้วยแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ที่มีการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น จึงทำให้ Fed ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ตัวเลขการจ้างงานจะชะลอตัวลงอย่างมากก็ตาม
หากภาวะเงินเฟ้อไม่ถูกปรับคาดการณ์เพิ่มขึ้น สรพลกล่าวว่ามีโอกาสที่จะได้เห็น Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 bps ในครั้งนี้เลย หรืออาจได้เห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าที่มากกว่านี้
ทั้งนี้ Dot Plot ได้ชี้ให้เห็นว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ และลดลงอีกปีละครั้งในปี 2026 และ 2027 ซึ่งถือว่าเว้นระยะห่างไปพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปี 2026 แต่ Dot Plot กลับชี้ว่าจะลดลงแค่ครั้งเดียว ผิดไปจากการคาดการณ์ของตลาด ซึ่งสรพลมองว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลสะท้อนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สรพลมองว่า เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีและงบประมาณครั้งใหญ่ ‘One Big Beautiful Bill’ ประกอบกับ การใช้จ่ายลงทุน (CAPEX) ระดับสูงของภาคอุตสาหกรรมเทคฯ จึงหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการเติบโตดีต่อไป
เงินบาทไทยแข็งต่อ คาดแนวรับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ เอาอยู่
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินในระยะต่อไป สรพล ระบุว่า แนวรับยังคงอยู่ที่ 31.50 บาทตามเดิม เนื่องจาก Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยแค่ 1 ครั้งในปี 2026 ซึ่งหาก Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงมากกว่านี้ สรพลเชื่อว่ามีโอกาสหลุดแนวรับได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม สรพลมองว่า ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไปนั้นเป็นปัญหาต่อภาคเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก เพราะรายได้กว่า 70% ของเศรษฐกิจไทย มาจากภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งสรพลเชื่อว่า กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะร่วมกันเร่งแก้ไข
ทั้งนี้ สรพลระบุว่า มีแนวทางแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า 4 แนวทางในระยะสั้น ดังนี้
- ลดค่าสหสัมพันธ์ระหว่างทองคำและค่าเงินบาท ซึ่งในอดีตเคยอยู่ที่ 0.5 แต่ปัจจุบันขึ้นมาสูงถึง 0.72 อย่างไรก็ตาม สรพลชี้ว่ายังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า ทองคำเป็นสาเหตุสำคัญซึ่งให้เงินบาทแข็งค่า
- ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ผ่านมาในอดีต ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า บรรเทาเงินบาทแข็งค่าเพียงเล็กน้อย
- เพิ่มเงินดอลลาร์ ในทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ทั้งนี้ สรพลระบุว่า ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะสหรัฐฯ มีการเฝ้าระวัง Currency Manipulation อย่างเข้มงวด
โดยมีเกณฑ์สำคัญ ได้แก่ ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด ตลอดจน FX Intervention
ซึ่งสรพลชี้ว่า ไทยไม่เหลือพื้นที่นโยบายมากนัก เพราะไทยไม่ผ่านเงื่อนไข เกณฑ์เฝ้าระวังของสหรัฐ มาแล้ว 2 ใน 3 ข้อ
- ไม่ทำอะไร เดี๋ยวกำแพงภาษี (Tariff) จะทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลง และสกุลเงินอ่อนตัวลงเอง
ซึ่งสรพลมองว่า แนวทางที่ 4 เป็นทางเลือกที่จำเป็นต้องพิจารณาในปัจจุบัน
คาด กนง. ลดดอกเบี้ย 1 ครั้งปีหน้า
สำหรับแนวโน้มการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สรพลประเมินว่า กนง. มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งในปีนี้
ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยปีต่อไป สรพลระบุว่า ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันไปในหมู่นักวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม สรพลมองว่า ไทยมีพื้นที่การคลังเหลือไม่เยอะแล้ว ซึ่งอาจลดดอกเบี้ยได้เพียง 2-3 ครั้ง
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ละครั้งนับจากนี้จึงมีความสำคัญมาก และต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมประกอบการพิจารณา ซึ่งสรพลเชื่อว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยปรับลง 1 ครั้งในปีหน้า
ปัจจุบัน ไทยมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50% ซึ่งสรพลเชื่อว่าจะไม่เห็น การปรับลดดอกเบี้ยลงไปแตะระดับ 0.5% อย่างแน่นอนในปีต่อไป
สุดท้ายนี้ สรพลชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่น่าจับตานับจากนี้ไป คือ แนวโน้มการร่วมมือกันระหว่าง ธปท. และกระทรวงการคลัง
Fed ลดดอกเบี้ย พาวเวลล์แจง ตัดสินใจ ‘ครั้งต่อครั้ง’
เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธาน Fed ระบุว่าสาเหตุสำคัญที่ Fed ตัดสินใจลดดอกเบี้ย มาจากสัญญาณในตลาดแรงงานที่อ่อนแอมากขึ้น และไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่าการจ้างงานยังคงแข็งแรง
ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงกดดันให้ Fed ลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง และพยายามเพิ่มอิทธิพลต่อบอร์ด Fed โดยเดินหน้าฟ้องร้องถอดถอนเจ้าหน้าที่ Fed อย่างไม่ลดละ เพื่อหาทางแต่งตั้งที่ปรึกษาเศรษฐกิจของตนเข้าไป
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ลงมติ 11 ต่อ 1 เสียง ลดกรอบอัตราดอกเบี้ยลง 0.25 bps สู่ระดับ 4.00%–4.25% โดยมีสตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) กรรมการใหม่เพียงคนเดียวที่โหวตเห็นต่างให้ลดมากถึง 0.5% bps
ทั้งนี้ พาวเวลล์ยังคงแสดงความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อที่อาจรุนแรงขึ้นจากมาตรการภาษี โดยย้ำว่าทิศทางดอกเบี้ยในอนาคตจะเป็นการตัดสินใจแบบ ‘ครั้งต่อครั้ง’ แทนการวางกรอบล่วงหน้า
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นไปตามคาดการณ์ในวงกว้าง ท่ามกลางสัญญาณตลาดแรงงานที่อ่อนตัว และภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
อ้างอิง: