×

ยอดผลิตรถยังทรุด! ส.ค. ร่วงอีก 6.11% ‘ส.อ.ท.’ ชงอนุทิน ควิกวินกองทุน 5,000 ล้าน อุ้มอุตฯ ก่อนวิกฤต

23.09.2025
  • LOADING...
ยอดผลิตรถยนต์

ยอดผลิตรถยนต์ยังทรุด เดือน ส.ค. ลดลงอีก 6.11% “ส.อ.ท.” ชง อนุทิน เดินหน้าควิกวิน 4 เดือน ตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท จากการยึดรถกระบะ แต่ไม่เกินคันละ 50,000 บาท หวังอุ้มอุตสาหกรรมยานยนต์ ก่อนเจอวิกฤตซ้ำ

 

วันที่ 23 ก.ย. สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยยอดการผลิต เดือนสิงหาคม 2568 รวมทั้งสิ้น 112,366 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ 1.58% แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 6.11% จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลง 10.67% จากสิงหาคมปีที่แล้ว เพราะผลิตรถยนต์นั่งลดลง 21.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นเพราะความเข้มงวดในการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับในด้านความปลอดภัยของประเทศคู่ค้ารวมทั้งผลิตรถกระบะส่งออกลดลง 6.36% จากการเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของประเทศคู่ค้า 

 

ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 4.11% จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่นำเข้ามาขายในปี 2565 – 2566 โดยจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 947,697 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – สิงหาคม 2567 ที่ 5.77%การผลิตเพื่อส่งออก เดือนสิงหาคมผลิตได้ 73,956 คัน เท่ากับ 65.82% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 10.67% 

 

ขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนสิงหาคม 2568 ผลิตได้ 38,410 คัน เท่ากับ 34.18% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 4.11% และเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 ผลิตได้ 324,628 คัน เท่ากับ 34.25% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-สิงหาคม 2567 ที่ 1.69%

 

สำหรับยอดขายภายในประเทศของเดือนสิงหาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,622 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ 3.01% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 5.38% จากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีถึง 9,246 คัน เพิ่มขึ้น 26.62% จากปีที่แล้ว รถกระบะขายได้ 10,960 คันลดลง 10.92% 

 

“รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องกว่า 2 ปี จากการเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ หลักฐานการเงินของผู้ซื้ออ่อนแอ” 

 

การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนสิงหาคม 2568 ส่งออกได้ 71,179 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว 1.74% และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2567 ที่ 17.30% จากส่งออกรถกระบะใช้น้ำมันลดลง 14.65% และรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันลดลง 35.09% เพราะการเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบางประเทศ 

 

ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนสิงหาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,486 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว 30.46% ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 318,574 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 59.20%

 

ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนสิงหาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 10,575 คัน ลดลงจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว 3.86% ดังนั้น ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 562,894 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 28.66%

 

ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 รวมทั้งสิ้น 76,720 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 26.96% 

 

ชง ‘อนุทิน’ ควิกวิน กองทุน 5,000 ล้านบาท อุ้มอุตสาหกรรม 

 

สุรพงษ์ ระบุอีกว่า รัฐบาลใหม่ โดยอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตมากขึ้น จึงขอเสนอมาตรการควิกวินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะได้ ‘เก็บภาษี’ มากกว่าเงินที่จะจ่าย ซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายถ้าเศรษฐกิจดีวันดีคืน 

 

ทั้งนี้ ข้อเสนอนี้เป็นของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท) และสมาคมธนาคารไทย เคยเสนอเมื่อปีที่แล้วที่เสนอรัฐบาลตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อค้ำประกัน ผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะ แล้วขายขาดทุนโดยจ่ายผลขาดทุนตามจริงแต่ไม่เกินคันละ 5 หมื่นบาท ให้กับสถาบันการเงิน 

 

โดยมีข้อแลกเปลี่ยนหรือเงื่อนไขที่ว่า สถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ให้มี ยอดขายรถกระบะมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30% 

 

“ตัวอย่างสมมติ ปีที่แล้วขายรถกระบะ 130,000 คัน ถ้าขายมากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 30% ปีนี้ต้องปล่อยสินเชื่อให้ขายรถกระบะให้ได้ 170,000 คัน ที่เพิ่มขึ้น 40,000 คันนี้ รัฐบาลจะค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถคันละไม่เกิน 50,000 บาท”

 

จึงตั้งกองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากรถยึดรถกระบะเพียง 2,000 ล้านบาท ( 40,000คัน × 50,000 บาทต่อคัน ) แต่หากรัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตรถกระบะ 3% × 24,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท ( ถ้าเฉลี่ยรถกระบะคันละ 600,000 บาท x 40,000 คันที่เพิ่มขึ้น ) จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของยอด 24,000 ล้านบาท ได้เงิน 1,680 ล้านบาท รวมเก็บภาษี 2 ประเภทนี้ ‘เพิ่มขึ้น’ 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท และยังเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ซัพพลายเชนขายได้มากขึ้น กำไรสุทธิมากขึ้น เช่น บริษัทผลิตยางล้อรถยนต์ขายยางล้อได้มากขึ้น 160,000 เส้น กระจกขายได้มากขึ้น 40,000 แผ่น เครื่องปรับอากาศรถยนต์ขายมากขึ้น 40,000 เครื่อง บริษัทขายท่อไอเสียมากขึ้น 40,000 ชิ้น ฯลฯ

 

“นอกจากนี้ ยังเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นจากรายได้พนักงานสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัยและพนักงานขายรถกระบะรวมทั้งคนงานทำงานในบริษัทซัพพลายเชนที่มีรายได้เพื่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทลงทุนเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม คนงานเหล่านี้มีรายได้มากขึ้นชำระหนี้ได้มากขึ้น (หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง) ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น จับจ่าย เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น”

 

ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศและในประเทศลงทุนมากขึ้นและเร็วขึ้น ผลิตสินค้าส่งออกมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโต เป็นวงจรขาขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเสียที

 

ทั้งนี้ จะเป็นเงินกองทุน 2,000 หรือ 5,000 ล้านบาท ขึ้นกับเป้าหมายที่จะให้ขายรถกระบะเพิ่มขึ้นกี่หมื่นคันในแต่ละปี ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายในอีก 2 ปีข้างหน้า เมื่อยึดรถกระบะมาแล้วและประมูลขายขาดทุนแล้วเท่านั้น

 

ภาพ: VCG/Getty images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising