หลังห่างจากการเป็นผู้ประกาศข่าวรายการโทรทัศน์ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ช่อง 3 มาตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม แฟนข่าวก็มีคำถามคาใจตลอดว่า ‘ต๊ะ-พิภู พุ่มแก้วกล้า’ จะย้ายไปที่ไหน
กระทั่งวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ธ.ค.) ความกระจ่างก็เกิดขึ้น เมื่อพิภูเดินทางมาที่ออฟฟิศ THE STANDARD และให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสดเป็นครั้งแรกกับ เคน-นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหารว่าจะเข้ามาเป็นพนักงานประจำ THE STANDARD ในฐานะผู้จัดรายการข่าว ‘THE STANDARD DAILY’ ที่จะเริ่มออนแอร์ในต้นปี 2018
และนี่คือบทสัมภาษณ์บางส่วนที่พิภูได้บอกเล่าถึงความตั้งใจ และจุดเปลี่ยนของเขากับการก้าวเข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดรายการ THE STANDARD DAILY ตลอดจนประสบการณ์ตลอดระยะเวลาเกือบๆ 10 ปีที่หล่อหลอมให้ชายวัย 34 ปีผู้นี้กลายเป็นหนึ่งในคนข่าวมากความสามารถที่น่าจับตามองคนหนึ่งของวงการ
จุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นครอบครัวและพนักงานประจำ THE STANDARD
ระยะเวลา 2 เดือนหลังพิภูออกจากรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ เขาเล่าว่าตนก็ยังใช้ชีวิตปกติอยู่เหมือนเดิมไม่ได้หายไปไหน ยังคงจัดรายการวิทยุและเป็นพิธีกรงานอีเวนต์ตามงานต่างๆ อยู่ เพียงแค่ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่หน้าจอทีวีเท่านั้น
กระทั่งวันหนึ่ง ‘น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา’ หนึ่งในพิธีกรรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ได้เข้ามาบอกกับเขาว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เจ๋งมากๆ แล้วอยากร่วมงานกับคุณนานมากแล้ว เป็นกลุ่มคนที่คล้ายๆ กับคุณ
“ตอนนั้นผมก็ถามน้าเน็กนะครับว่า เป็นคนคล้ายๆ กับผมจะดีหรือครับ?”
พิภูเปิดเผยถึงจุดที่ทำให้เขาสนใจ THE STANDARD ว่าปกติเขาก็ติดตามเพจข่าวออนไลน์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วหลายเพจ แต่ส่วนใหญ่กลับพบว่าเพจข่าวหลายเพจในปัจจุบันมักจะเน้นนำเสนอข่าวเชิงดราม่า บีบคั้นอารมณ์หัวใจผู้อ่านเป็นหลัก
“ผมจะชอบสำนักข่าวที่นำเสนอข่าวแบบ ‘โบราณ’ เหมือนที่ผมเคยได้รับการอบรมมา คือไม่เจือดราม่าและไม่พยายามบิลต์ให้คนอ่านรู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากเกินไป แต่นำเสนอข่าวแบบพื้นฐานคือ ‘ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และเกิดขึ้นเมื่อไร’ หรืออาจจะวิเคราะห์ไปว่ามันส่งผลกระทบอะไรอย่างไร การนำเสนอข่าวแบบน้ีมันเป็นกลาง อาจจะไม่ได้หวือหวา เรียบๆ ไม่ได้น่าตื่นเต้น แต่ในมุมของผมรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง มีจรรยาบรรณ มีความสุภาพและเหมาะกับตัวผม
เขาบอกต่อว่า “ผมรู้สึกว่า THE STANDARD เป็นหนึ่งในสำนักข่าวที่ผมรู้สึกโอเค ผมก็จะเลือกอ่านข่าวจาก THE STANDARD ที่ไม่มีในเว็บข่าวอื่นๆ โดยเฉพาะข่าวต่างประเทศหรือข่าวแปลกที่ผมจะชอบเข้าไปอ่านมาก เป็นข่าวที่ผมคิดว่าหลายๆ ที่คงไม่นำเสนอกันเพราะยอดวิวคงจะน้อย แต่สื่อที่กล้าจะยืนหยัดนำเสนอในสิ่งที่คนอาจจะไม่ชอบแต่น่าสนใจหรือมีประโยชน์ ทุกวันนี้มันเหลือน้อยลงมาก แต่ THE STANDARD เป็นหนึ่งในสื่อนั้น และนี่คือความเท่ที่ผมค้นหาอยู่”
นอกจากนี้เรื่องช่วงวัยอายุคนทำงานที่ไล่เลี่ยกัน บรรยากาศในที่ทำงานและสถานที่ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ทำให้พิภูเลือกตัดสินใจมาอยู่กับ THE STANDARD
บทบาทใหม่ ผู้ดำเนินรายการเล่าข่าวสบายๆ แบบ THE STANDARD DAILY
“ผมมาที่นี่เพื่อเป็นตัวเองครับ” นี่คือคำตอบแบบไม่ลังเลของพิภู เมื่อถูกถามว่ามาทำอะไรที่นี่?
“ต้องบอกนะครับ ไม่ว่าผมจะไปทำงานที่ไหนก็ตาม ยกเว้นอาชีพดีเจ มันก็จะมีแพตเทิร์นของมันว่า ‘ต้องทำแบบนี้ถึงจะถูก’ ‘ทำแบบนี้ไม่ถูก’ หรือคุณต้องเป็นแบบนี้ เล่าข่าวแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ บิลต์และดราม่าแบบนี้ นั่นคือโจทย์ที่ผมได้มาและต้องพยายามเรียนรู้ตาม ซึ่งทุกที่ก็จะมีกรอบการทำงานเป็นของตัวเองและก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
“แต่การมาที่ THE STANDARD หลังจากนี้เป็นต้นไป มันคือ ‘My guest My Show’ ทุกอย่างมันไม่มีกรอบ ผมจะทำทุกอย่างในแบบที่เป็นตัวผม จะดีไม่ดีก็ให้คนอื่นตัดสิน ตัวตนผมในโลกออนไลน์กับโลกแห่งความเป็นจริงก็เหมือนกัน ไม่มีการประดิษฐ์”
เขายอมรับว่าในช่วงแรกๆ หลังจากที่ออกจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ก็มีช่วงที่ลังเลเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี เพราะคิดว่าหากหันเหไปทำธุรกิจส่วนตัว หรือจัดรายการวิทยุก็คงจะเสียดายประสบการณ์ 10 ปีในวงการสื่อสารมวลชนที่สั่งสมมาพอสมควร
ครั้นจะไปสมัครช่องรายการทีวี พิภูก็ยอมรับว่าทีวีในบ้านเราคงไปต่อได้อีกสักพัก แต่ก็อยู่ในช่วงขาลง และก็มีแวบหนึ่งที่เกิดความคิดอยากทำรายการออนไลน์ของตัวเอง เพราะไม่ได้ใช้ต้นทุนที่สูงมากนัก
“ตอนแรกผมคิดไว้แล้วครับว่าจะเล่าข่าวกับพาร์ตเนอร์ของผม ‘เจ้าขนมปัง’ น้องหมาพันธ์ุปอมเมอเรเนียนในชื่อรายการ ‘เล่าข่าวกับหมา เน้นฮาไม่เครียด’ (เน้นเสียง) ทำเองเล่นๆ ง่ายๆ ถ่ายทอดสดผ่านอินสตาแกรม”
พิภูบอกแบบติดตลกว่าตอนนี้เขาก็ยังอยากทำรายการแบบที่เคยคิดไว้อยู่ ซึ่งถ้าใครเอารูปแบบรายการเล่าข่าวกับน้องหมาไปใช้ต่อจากนี้ก็เท่ากับว่าลอกไอเดียของเขา
คอนเซปต์รายการ THE STANDARD DAILY ที่จะเริ่มออนแอร์ต้นปีหน้าจะเป็นรายการเล่าและวิเคราะห์ข่าว ซึ่งอาจจะมีความต่างหรือเหมือนๆ กับรายการข่าวอื่นๆ ทั่วไปอยู่บ้าง แต่ความเป็น THE STANDARD จะทำให้รายการของเจ้าตัวไม่เหมือนใครแน่นอน
“รายการผมจะมีข่าวที่ที่อื่นไม่มี แต่ต้องมีที่ THE STANDARD และจะมีมุมมองการเล่าข่าวในแบบของผม”
พิภูออกตัวว่า “บอกนิดนึงว่าผมไม่เน้นดราม่าแน่นอน ผมอยากจะเป็นคนนำเสนอข่าวที่ไม่เน้นดราม่าและยังน่าดูได้อยู่ เพราะทุกวันนี้เรตติ้งมันมาเพราะดราม่ามากกว่า สังคมอุดมปัญญาของเราค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสังคมอุดมมายา-ดราม่า ซึ่งในมุมของผมรู้สึกว่ามันผิด สังคมจะเจริญขึ้นได้ไปด้วยกันได้ ทุกคนต้องมีวิจารณญาณในการเสพข่าวสาร และวิเคราะห์บางสิ่งบางอย่างแล้วจึงค่อยเสนอความคิดเห็นลงไปเพื่อช่วยให้มันเกิดการพัฒนา ไม่ใช่กดให้มันต่ำลงไป
“ผมมองว่าการนำเสนอข่าวมันควรจะยังคงรูปแบบบางอย่างที่วิเคราะห์กันเรื่องเหตุผล หลักคิดและตรรกะ และตัดเรื่องอารมณ์ออกไป”
รายการ THE STANDARD DAILY จะออนแอร์ทางเฟซบุ๊ก, ยูทูบและเว็บไซต์ข่าว THE STANDARD ตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.30-20.15 น.
ถามถึงความจริงจังและความขี้เล่นที่เราจะได้เห็นในรายการ พิภูบอกว่าเตรียมใจได้เลย เพราะรายการของเขาจะต้องครบเครื่องแน่นอน “ผมเป็นคนจริงจังและมีมุมขี้เล่น แม้ผมไม่ได้หล่อมากแต่ก็พอมีมุมน่ารักๆ (หัวเราะ) มันต้องดูกันต่อไปแหละครับ”
เขาบอกต่อว่าทุกอย่างมันก็คงต้องพัฒนากันต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าเริ่มต้นแล้วจะเป๊ะหรือเจ๋งทันที แต่จะพยายามทำให้คนดูรู้สึกว่าคุณๆ ยังมีเขาอยู่เป็นเพื่อน หากช่วงหัวค่ำติดอยู่บนรถและถนนก็มีรายการ THE STANDARD DAILY ให้ได้ดู ได้ฟังเพลินๆ ดูกันไปเรื่อยๆ ถ้าถึงบ้านแล้วเบื่อรายการข่าวทีวีแบบเดิมๆ ก็สามารถดูรายการของเขาไปด้วยระหว่างที่ทานข้าวมื้อค่ำ ให้คิดซะว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางการเลือกรับชมข่าว นอกจากนี้เจ้าตัวยังบอกอีกด้วยว่าหากมีโอกาสก็อยากจะลองงานเขียนอยู่เหมือนกัน
“ผมรู้สึกว่าตัวเองอยากทำมากกว่าแค่เปิดหน้าจอ ในอนาคตมันคงจะมีบทความที่เขียนโดย พิภู พุ่มแก้วกล้า ใน THE STANDARD อยู่บ้าง ผมไม่อยากเป็นแค่คนที่ทุกคนคอยป้อนข้อมูลให้เพื่อให้มีหน้าที่สื่อสารอย่างเดียว จริงๆ แล้วผมชอบเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ และนักบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นผมเลยอยากเข้ามาทำงานคลุกคลีกับทุกคน
“คนที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่คนที่อยู่ๆ ก็กระโดดมาเป็นนายคน ซูเปอร์สตาร์แถวหน้า คุณต้องเรียนรู้ตั้งแต่หลังบ้าน กลางบ้าน จนกระทั่งมาอยู่ที่หน้าบ้าน ผมชอบแบบนั้นมากกว่า ผมเรียนรู้จากการอ่านประวัติของซีอีโอหลายๆ คน เขาไม่ได้อยู่ๆ เกิดมาเป็นซีอีโอเพราะว่ามีพ่อแม่รวย แต่เขาก็คือคนปกติทั่วๆ ไปนี่แหละ”
ประสบการณ์ 10 ปี ดีเจ วีเจ และคนตักไอติมที่หล่อหลอมให้พิภูกลายเป็นคนข่าว
ในการเปิดใจครั้งนี้ นอกจากพิภูจะเล่าถึงหน้าที่ที่เขาจะเข้ามารับผิดชอบในการเป็นพนักงานประจำของ THE STANDARD DAILY เจ้าตัวก็ยังเปิดเผยถึงเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กอีกด้วย
พิภูบอกว่าสมัยยังเด็กๆ เขาต้องฝ่าฟันผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆ มาแล้วมากมาย ตั้งแต่ได้เข้าไปเป็นนักเรียนโรงเรียนประจำ จ่ายค่าเทอมแพงหูฉี่แล้วได้ใส่เครื่องแบบราชปะแตน จนไปถึงวันที่ครอบครัวล้มละลาย ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม พ่อและแม่ต้องแยกทางกัน
ดังนั้นในสมัยเรียนหนังสือ พิภูจึงต้องทำทุกหนทางเพื่อช่วยเหลือที่บ้านโดยไม่เกี่ยงเรื่องเงิน
“ตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ก็มีโอกาสได้ทำงานพิเศษตักไอติมที่ร้าน iberry สาขาสยามอยู่หลายเดือน แต่พอเปิดเทอมหลังจากนั้นก็เริ่มได้ผันตัวเข้ามาสู่ในสายงานบันเทิงมากขึ้น เพราะเริ่มได้แคสต์งานอยู่บ่อยๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณพี่ๆ ที่ธรรมศาสตร์ด้วยที่คอยช่วยเหลือผม”
ความเป็นจริงแล้วพิภูบอกเองว่าเขาไม่เคยฝันอยากเป็นดาราหรือคนในแสงสปอตไลต์มาก่อน เพราะความฝันจริงๆ ของเขาคือการได้เป็นดีเจจัดรายการวิทยุ เนื่องจากสมัยที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำ เด็กหนุ่มคนนี้โปรดปรานการฟังคลื่น FM-AM จากซาวด์อะเบาต์เป็นชีวิตจิตใจ
กระทั่งวันหนึ่งโอกาสก็มาถึง หลังพลาดการคว้าตำแหน่งวีเจรายการ Chanel V รอบ 5 คนสุดท้าย พิภูก็เดินหน้าฝึกฝนและอัดเทปเดโมการจัดรายการตระเวนส่งตามคลื่นวิทยุหลายๆ แห่งเป็นระยะเวลา 1 ปีเศษๆ จนในที่สุดก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดรายการวิทยุคลื่น Seed Radio สมใจ (ดำเนินรายการช่วง 00.00-03.00 น.)
“ตอนนั้นดีใจมากๆ เพราะงานที่ได้ทำเป็นงานแรกในชีวิตคืองานในฝันของเราเลย ต้องไปนั่งทำความรู้จักกับแนวเพลงเกาหลี ซึ่งปกติผมจะฟังแค่ Fat Radio จนตอนนี้ผมก็เป็นสายเกาพอสมควร คุยได้ รู้เรื่องหมด”
หลังทำงานสายดีเจได้หนึ่งปี เขาเริ่มตั้งคำถามถึงความมั่นคงในหน้าที่การงาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยบอร์นมัท (Bournemouth University) ถึง 13 เดือนจากการสนับสนุนของพี่สาวทั้ง 4 คน (ลูกพี่ลูกน้อง) และกลับมาจัดรายการที่คลื่น Seed อีกครั้งตามคำชวนของพี่แหลม โปรดิวเซอร์ผู้เคยให้โอกาสเขา
ในช่วงนี้เองที่พิภูเริ่มหันเหสายงานของตัวเองเข้าสู่การเป็นผู้ประกาศข่าวอย่างจริงๆ จังๆ เพราะเวลานั้นสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 กำลังเปิดรับสมัครผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่อยู่พอดี และก็กลายเป็นโชคดีจากความอุตสาหะที่เจ้าตัวมีโอกาสเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ประกาศข่าวช่อง 9 หน้าใหม่ชุดนั้น
7 ปี 3 เดือน คือช่วงระยะเวลาการเป็นผู้สื่อข่าวช่อง 9 ที่พิภูจำได้ขึ้นใจ “ผมชอบนะครับ สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดและตรงกับความปรารถนาของผมคือ มันทำให้ผมได้อ่านและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ผมไม่ใช่คนอ่านหนังสือเยอะหรือชอบอ่านวรรณกรรม แต่ผมเป็นคนชอบอ่านเกร็ดความรู้รอบตัว อ่านสารานุกรม นิตยสาร ผลโพล ซึ่งการอ่านข่าวก็ทำให้เราอัพเดตสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน และมันทำให้กลายเป็นนิสัย ตื่นมาเราต้องหาอะไรอ่านก่อน เราจะตกเทรนด์เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตของเราได้เดินหน้าอยู่ตลอดเวลา และก็เริ่มรู้สึกชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆ”
เข้าสู่ปีที่ 8 ของการทำงานสายคนข่าว พิภูต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงในวิชาชีพอีกครั้ง เมื่อได้รับโอกาสครั้งสำคัญเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ประกาศข่าวรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ร่วมกับ ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ
“ผมได้อะไรมาเยอะมากๆ เลยครับ” พิภูบอก
“ต้องขอบคุณพี่ๆ ที่เรื่องเล่าเช้านี้ และพี่ยุทธ (สรยุทธ สุทัศนะจินดา) มันอาจจะเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่ผมก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนซึ่งคนอื่นอาจจะมองว่าเท่มากได้ทำแทนพี่ยุทธ แต่ผมต้องบอกตรงนี้เลยว่ามันไม่ได้มีอะไรแน่นอนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันคือการไปลองและฝึก ไม่ได้มีการเซ็นสัญญาอะไร ถ้าผ่านโปรก็ต่อโปรไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ไหวหรือเขารู้สึกว่าเราไม่ใช่ ก็สามารถบอกกันได้ เดือนเดียวก็ออกได้เลย”
ช่วงเวลาที่ทำงานกับเรื่องเล่าเช้านี้ 1 ปีกว่าๆ พิภูบอกว่าเป็นช่วงที่ทั้งเหนื่อยและมันในเวลาเดียวกัน เพราะช่วยให้เขาได้ฝึกฝนในหลายๆ ด้าน ได้เรียนรู้วิธีการเล่าข่าวในรูปแบบที่ต่างออกไป
“แต่ต้องแยกกันนะครับ ผมเป็นผู้ประกาศข่าวไม่ใช่นักข่าว นักข่าวในมุมมองของผมมีศักดิ์ศรีและเท่กว่าผมเยอะมาก นักข่าวเหมือนเชฟต้องออกไปหาวัตถุดิบมาปรุงข่าว โดยมีบรรณาธิการเป็นหัวหน้าเชฟ ผมเป็นแค่เด็กเสิร์ฟที่ต้องเสิร์ฟอาหารให้น่าทานที่สุด แต่เด็กเสิร์ฟก็ต้องมีความรู้ อธิบายได้ว่าอาหารที่จะถูกเสิร์ฟแต่ละจานทำมาจากอะไร อร่อยอย่างไร นี่คือหน้าที่ผม
“เพราะฉะนั้นพอเปลี่ยนงาน มันก็คือวิธีการนำเสนอเมนูใหม่ๆ สไตล์เรื่องเล่าเช้านี้ ที่คุณสรยุทธเขาทำสำเร็จมากว่า 10 ปี และคนหลายๆ คนเริ่มทำตามแล้วประสบความสำเร็จเหมือนกัน”
หลายคนมักจะคิดและเข้าใจว่าทันทีที่พิภูเข้ามาสวมหมวกใบเดิมของสรยุทธ นั่นคือการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตการทำงานในวงการสื่อสารมวลชน
“คนชอบคิดแบบนั้นครับ แต่สำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นแค่จุดจุดหนึ่งในชีวิต เป็นแค่การปูทางให้ผมไปต่อ”
และทางที่พิภูเลือกเดินต่อไปในวันนี้ก็คือ THE STANDARD