×

TFM หันรุกตลาดต่างประเทศ หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้ กระจายความเสี่ยงธุรกิจในประเทศ พร้อมตั้งเป้ารายได้รวมแตะ 1 หมื่นล้านบาทภายในปี 2573

25.03.2025
  • LOADING...

TFM ตั้งเป้าหมายจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ 18-20% โดยมีการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งเตรียมจะใช้งบลงทุนในระหว่างปี 2568-2573 ไว้ที่ 300-500 ล้านบาทต่อปี

 

พีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายภายในปี  2573 จะมีรายได้รวมแตะ 10,000 ล้านบาทหรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 11% พร้อมตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ไว้ที่ระดับ 18-20% โดยมีการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Segment) โดยเฉพาะอาหารกุ้งและอาหารปลา ที่เป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว รวมถึงขยายสู่อาหารปลาน้ำจืดอื่นๆ โดยปัจจุบันสินค้าที่วางจำหน่ายของบริษัทฯ มีจำนวนประมาณ 275 รายการ (SKU)

 

ส่วนแผนธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 8-10% จากการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ จากในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 5,365 ล้านบาท เติบโต 5.6% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.7% และกำไรสุทธิโตขึ้นจากปีก่อน 5 เท่าตัวคิดเป็นกำไรที่ 535 ล้านบาท

 

กระจายความเสี่ยง ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ

 

บริษัทฯ มีแผนในช่วง 2568-2573 จะขยายรุกตลาดในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงของธุรกิจจากในประเทศและเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตที่เพิ่มขึ้นซึ่งในปี 2573 ตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งในอินโดนีเซียจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 18%, ส่วนตลาดต่างประเทศอื่นๆ จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11% ขณะที่ประเทศไทยจะมีสัดส่วนลดลงอยู่ที่ประมาณ 71%

 

ขณะที่โครงสร้างของราคาขายสินค้าในตลาดต่างประเทศถือเป็นราคาที่สูงกว่าราคาขายในประเทศไทย ส่งผลให้บริษัทจะยังสามารถรักษา GPM อยู่ที่ 18-20% ได้ตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ตั้งไว้

 

ทั้งนี้พอร์ตรายได้ปัจจุบันของบริษัทมาจากธุรกิจในประเทศไทยประมาณ 84%, อินโดนีเซียสัดส่วน 12%, ปากีสถานสัดส่วน 1% และประเทศอื่นๆ อีก 3%

 

โดยตลาดต่างประเทศ นับเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญของบริษัทฯ ในอนาคตและช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตรายได้ จากจุดเริ่มต้นด้วยการส่งออกสินค้าประเทศศรีลังกา และต่อยอดสู่ประเทศที่มีอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเติบโต ได้แก่ อินเดีย,อินโดนีเซีย, แอฟริกาใต้, กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง และเริ่มส่งออกสินค้าไปรัฐฮาวาย ของสหรัฐฯ

 

โดยกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจในตลาดประเทศจะเน้นการร่วมมือกับคู่ค้าพันธมิตรในต่างประเทศที่มีฐานะที่แข็งแกร่งเพื่อลดความเสี่ยงให้บริษัทฯ เพื่อรุกตลาดใหม่ๆ และขยายตลาดเดิม พร้อมสร้างฐานลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ

 

พีระศักดิ์ บุญมีโชติ

ภาพ: พีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน)

 

“เราไม่ได้กังวลประเด็นกำแพงภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะเราส่งออกสหรัฐฯ ไม่มาก ส่วนการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ก็ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากแหล่งอื่นๆ คือ บราซิลกับอาร์เจนตินา ขณะที่วัตถุดิบหลักที่เราใช้ คือ BY-PRODUCT ของปลาทูน่า จึงไม่มีผลกระทบกับบริษัทฯ”

 

ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตอาหารสัตว์จำนวน 4 โรงงานทั่วโลก แบ่งเป็นในประเทศไทยจำนวน 2 โรงงาน, ในอินโดนีเซียจำนวน 1 โรงงาน และปากีสถานอีกจำนวน 1 โรงงาน อีกทั้งมีประเทศคู่ค้าทั่วโลกจำนวน 13 ประเทศ

 

“บริษัทฯ มีการใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์ที่มาจาก BY-PRODUCT ของปลาทูน่าของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU สัดส่วนประมาณ 30-40% ของที่ใช้ทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดแข็งที่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง ถือเป็นบริษัทฯ เดียวที่มีทรัพยากรนี้

 

ดังนั้น จึงมีคาแรกเตอร์ของสินค้าอาหารสัตว์ที่แตกต่างจากคู่แข่งด้วย ส่วนการซื้อวัตถุดิบมีการ Synergy ของทั้งกลุ่มทำให้สามารถได้ทั้งวอลุ่มกับแวลูที่มีต้นทุนที่ถูกลง อีกทั้งจะเลือกขายสินค้าเฉพาะที่ทำกำไร และตัดสินค้าที่ไม่ทำกำไรออกจากพอร์ต”

 

แผน ปี 68-73 ทุ่ม 300-500 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักร เพิ่มกำลังผลิต

 

สำหรับแผนลงทุนระหว่างปี 2568-2573 ตั้งลงทุนไว้ประมาณ 300-500 ล้านบาทต่อปี เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักร รวมปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงาน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีการใช้เพียงสัดส่วนประมาณ 60% ของกำลังการผลิตรวมทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รายได้เป็นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

 

นอกจากนี้ สำหรับตลาดในประเทศ TFM จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอาหารกุ้ง อาหารปลากะพง และอาหารกบ โดยจะมุ่งขยายตลาดในพื้นที่ที่ยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ด้วยการรักษาคุณภาพสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเกษตรกร ผ่านบริการและองค์ความรู้เชิงวิชาการ

 

ขณะเดียวกันได้เตรียมขยายสู่ตลาดอาหารปลาน้ำจืดที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และตั้งเป้าหมายก้าวเป็นผู้นำตลาดอาหารปลาน้ำจืดในอนาคต

 

นอกจากนี้ ยังเน้นสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหารสัตว์น้ำในประเทศไทย ล่าสุด ได้เปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ แบรนด์ขุนศึก เป็นอาหารปลานิลที่โดดเด่นในเรื่องช่วยให้ปลาโตเร็วและมีรูปร่างตรงตามความต้องการของตลาด, แบรนด์กบทอง เป็นอาหารสำหรับกบขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรที่เลี้ยงกบเชิงพาณิชย์ และแบรนด์โปรฟีดปลากดคัง เป็นอาหารปลากดคัง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออกของประเทศไทย

 

แตกพาร์หุ้น TFM เหลือ 1 บาท ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง

 

พีระศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่บริษัทฯ ก่อนหน้าที่ได้มีการแตกพาร์หุ้น TFM จาก 2 บาทต่อหุ้น เหลือ 1 บาทต่อหุ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้หุ้นของ TFM มีวอลุ่มสภาพคล่องการซื้อขายที่ต่ำมาก ดังนั้นเชื่อว่าการแตกพาร์ ประกอบกับแผนกลยุทธ์การสร้างการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต จะสามารถช่วยเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น TFM ให้ดีขึ้น ขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ปัจจุบันอยู่ที่ 31.70% มองว่าเป็นระดับที่มีความเหมาะสม

 

ปัจจุบัน TFM มี บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 1 ด้วยสัดส่วน 51%

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising