ส.อ.ท. เผยปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนและเซมิคอนดักเตอร์กระทบยังการผลิตรถยนต์นั่ง ฉุดยอดส่งออกรถยนต์เดือนมีนาคมหดตัว 10.21% แย้มราคารถยนต์มีโอกาสแพงขึ้นหลังสงครามทำต้นทุนการผลิตพุ่ง
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ของประเทศในเดือนมีนาคม 2565 ว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้มีทั้งสิ้น 172,671 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 6.25% และเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 10.93%
โดยยอดผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเร่งผลิตเพื่อขายในประเทศเพื่อรองรับคำสั่งซื้อในงานมอเตอร์โชว์ และความต้องการใช้รถยนต์เดินทางที่มากขึ้นของคนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ดี การผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกยังคงลดลง 11.44% จากการผลิตรถยนต์นั่งที่ลดลงถึง 41.70% เพราะขาดชิ้นส่วนและเซมิคอนดักตอร์ในบางรุ่น
สำหรับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม-มีนาคม 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 480,078 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกของปีก่อน 3.06% โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ในเดือนมีนาคม 2565 ผลิตได้ทั้งหมด 119,917 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.54% และตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2565 ผลิตได้ทั้งสิ้น 333,585 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.63%
สวนทางกับรถยนต์นั่งที่ในเดือนมีนาคม 2565 ผลิตได้ 49,331 คัน ลดลงจากปีก่อน 14.01% และตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2565 ผลิตได้ 136,464 คัน ลดลงจากปีก่อน 19.58%
ขณะที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในเดือนมีนาคม 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 87,245 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 9.1% และเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2565 17.12% โดยมีสาเหตุหลักจากการคลายการล็อกดาวน์ของรัฐบาลทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด การกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการใช้เงินและส่วนลด ทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น กำลังซื้อดีขึ้น รวมทั้งการส่งมอบรถยนต์ให้ผู้จองในงานมอเตอร์โชว์
อย่างไรก็ดี ส.อ.ท. ยังมีความกังวลว่าการระบาดของโควิดที่มีคนติดและเสียชีวิตมีจำนวนสูง รวมทั้งราคาสินค้าและวัตถุดิบต่างๆ และพลังงานที่สูงขึ้นจากสงครามในยูเครนและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งอาจจะกระทบต่อยอดขายรถยนต์ในช่วงที่เหลือของปี จึงต้องติดตามประเด็นเหล่านี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
“ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการขนส่งและวัตถุดิบของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมีความเป็นไปได้ที่ราคาขายรถยนต์อาจถูกปรับขึ้นในระยะข้างหน้าหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ เรายังต้องจับตาดูต่อไปแต่ ณ ตอนนี้เรายังมองว่ายอดขายในประเทศปีนี้น่าได้ตามเป้า 8.5 แสนคัน และอาจสูงถึง 9 แสนคันในกรณีที่ผลกระทบจากโควิดและสงครามไม่รุนแรง” สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าว
ด้านยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ 93,840 คัน ลดลง 10.21% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 18.11% จากเดือนกุมภาพันธ์ จากการขาดแคลนชิ้นส่วนและเซมิคอนดักเตอร์ในรถยนต์นั่งบางรุ่น จึงผลิตและส่งออกลดลงในตลาดรถยนต์นั่ง เช่น เอเชีย ออสเตรเลีย และยุโรป โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 55,853.30 ล้านบาท ลดลง 4.40% จากปีก่อน
“ส่วนยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 243,124 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.81% แต่มีมูลค่าการส่งออก 144,165.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกของปีก่อน 0.86% โดย ส.อ.ท. ยังคงเป้าการส่งออกรถยนต์ในปีนี้ไว้ที่ 1 ล้านคันในกรณีที่ผลกระทบจากโควิดและสงครามไม่รุนแรงเช่นกัน” สุรพงษ์กล่าว
ส.อ.ท. ยังเปิดเผยถึงสถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสอดคล้องกับตลาดรถยนต์ทั่วโลก หลังรัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมและจูงใจผู้บริโภค โดยในเดือนมีนาคม 2565 มียานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV จดทะเบียนใหม่จำนวน 1,403 คัน เพิ่มขึ้น 165.22% จากเดือนมีนาคม 2564 โดยมีจดทะเบียนสะสมทั้งสิ้น 14,255 คัน ขณะที่รถประเภท HEV มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 7,304 คัน เพิ่มขึ้น 81.60% จากเดือนมีนาคม 2564 โดยมีจดทะเบียนสะสมทั้งสิ้น 213,426 คัน และรถประเภท PHEV มียอดจดทะเบียนใหม่จำนวน 1,290 คัน เพิ่มขึ้น 70.86% จากเดือนมีนาคม 2564 และมีจดทะเบียนสะสมทั้งสิ้น 34,104 คัน
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP