วันนี้ (30 พฤษภาคม) ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ ที่มี มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งได้เลื่อนญัตติขอให้ชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติฯ ของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จนกว่ามีคำตัดสินในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวนมาก ตกเป็นผู้ถูกร้องและผู้ร้องขณะนี้ ขึ้นมาพิจารณาก่อนวาระเดิม ที่จะมีการตั้งกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ และให้ความเห็นชอบตำแหน่งต่างๆ ดังกล่าว
เทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ในฐานะผู้เสนอญัตติ ได้อภิปรายแสดงเหตุผลของการเสนอญัตติ โดยยืนยันถึงหลักการทับซ้อนแห่งผลประโยชน์ เพราะ สว. จำนวนกำลังเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทั้งโดย กกต. หรือกระทั่ง ป.ป.ช. แม้จะยังสถานะเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
อย่างไรก็ตาม เทวฤทธิ์บอกด้วยว่า ญัตติดังกล่าวยังเกิดจากสิ่งที่ สว. หลายท่านกรุยทางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบบทบาทของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่มาแทรกแซงกระบวนการได้มาซึ่ง สว. รวมถึงวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา มี สว. 13 คน ลาออกจากกรรมาธิการสอบประวัติฯ ผู้ได้รับเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช. เพื่อเป็นการป้องกันประเด็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่กับประเด็นการร้องทุกข์กล่าวโทษที่ได้ร้องทุกข์ไว้และอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.
เทวฤทธิ์ชี้ว่า เมื่อ สว. คำนึงถึงปัญหาการแทรกแซงกระบวนการปัญหาการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ในวันนี้ที่ สว. กำลังจะใช้สถานะผู้ให้ความเห็นชอบใน 3 องค์กรอิสระ ที่ สว. จำนวนมาก กำลังตกเป็นคู่กรณี ทั้งในสถานะผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องก็ตาม ดังนั้น จึงหนีไม่พ้นที่จะมองว่า เรื่องที่ดำเนินการอยู่นี้ผิดหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ พร้อมเรียกร้องว่าไม่ควรปล่อยให้ สว. ทั้ง 13 คนซึ่งได้ลาออกจากกรรมาธิการฯ ต้องเดินตามหลักการอย่างโดดเดี่ยว เพราะพวกท่านนำทางไว้ให้เราแล้ว
ส่วนข้อกังวลว่า จะเกิดสุญญากาศหากไม่มีคนเข้าไปทำงานในองค์กรอิสระต่างๆ นั้น เทวฤทธิ์ระบุว่า เราไม่ได้ชะลอตลอดไป เพียงแค่ในช่วงที่มีการตรวจสอบ ซึ่งคาดว่า 6 เดือนน่าจะแล้วเสร็จ และยังมีรักษาการดำรงตำแหน่งอยู่ได้ พร้อมขอให้สมาชิกคำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาระหว่างการเดินหน้าต่อหรือชะลอไปก่อน
กฎหมายตามไม่ทัน ต้องใช้จิตสำนึก
จากนั้น นันทนา นันทวโรภาส สว. ลุกขึ้นอภิปราย โดยตั้งคำถามว่า ขณะที่กรณีศาลรัฐธรรมนูญ สว. 92 คน ยื่นร้องให้ตรวจสอบรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในข้อหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ถอดถอนจากตำแหน่ง และขอให้ศาลสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหยุดปฏิบัติหน้าที่ ท่านเป็นผู้ร้องหากเห็นชอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 ท่านเข้าไปดำรงตำแหน่งในขณะที่ท่านเป็นโจทก์อยู่จะเท่ากับว่าเป็นการเลือกผู้พิพากษามาตัดสินคดีของท่านเองหรือไม่ จะเป็นธรรมต่อฝ่ายจำเลยหรือไม่
“นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ สว. จำเป็นต้องชะลอการลงมติในการเลือกองค์กรอิสระและชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาคุณสมบัติออกไปจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เพราะหากดึงดันสังคมจะมองว่าท่านใช้สถานะ สว. เพื่อประโยชน์แห่งคดีของท่านโดยแท้” นันทนากล่าว
นันทนาระบุว่า อาจมีการโต้แย้งเรื่องข้อกฎหมายว่า ไม่มีกฎหมายใดเปิดช่องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นบางส่วนได้ หรืออาจมีผู้ร้องว่า สว. ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 93 ปีของประชาธิปไตยไทยที่ สว. ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเกินครึ่งสภาฯ ย่อมไม่มีกฎหมายไหนตามทัน เพราะเป็นเรื่องใหม่เพิ่งเกิดขึ้นในรุ่นนี้ เมื่อกฎหมายตามไม่ทัน ก็ต้องใช้จิตสำนึกและจริยธรรม
“สว. กลายเป็นเรื่องโด่งดังที่ประชาชนพากันจับตาว่า จุดจบของคดีนี้จะเป็นอย่างไร หากท่านทั้งหลายไม่ปิดหูปิดตาตนเอง ท่านย่อมทราบดีว่าขณะนี้ประชาชนจำนวนมากกล่าวขานถึง สว. ชุดนี้อย่างไร เขาคลางแคลงใจต่อที่มาของ สว. ชุดนี้มากเพียงใด ท่านทั้งหลายอาจฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนได้ด้วยการแสดงให้เห็นว่าการดำรงตำแหน่ง สว.ของท่าน ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์แห่งตนหรือพวกพ้อง ด้วยการชะลอลงมติใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เมื่อท่านบริสุทธิ์ก็จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” นันทนากล่าว