วานนี้ (25 พฤศจิกายน) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย สส.พรรคประชาชน ร่วมติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมรวบรวมข้อมูลความเดือดร้อนของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยพบปะประชาชนที่ศูนย์อพยพมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 ค่ายเสนาณรงค์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ณัฐพงษ์ระบุว่าสถานการณ์ล่าสุดยังมีความน่ากังวล เนื่องจากยังคงมีประชาชนติดค้างอยู่ในพื้นที่อุทกภัยเป็นจำนวนมาก ตลอดสองวันที่ผ่านมานี้มีประชาชนจำนวนมากสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ โพสต์และคอมเมนต์ขอความช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันหลายคนไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้แล้วเนื่องจากแบตเตอรี่โทรศัพท์หมดหรือสัญญาณอินเทอร์เน็ตมีปัญหา
ด้วยความที่ประชาชนจำนวนมากยังคงรอความช่วยเหลืออยู่ในที่ประสบเหตุ เมื่อคืนที่ผ่านมาทีมอาสาสมัครและนักพัฒนาจำนวนหนึ่งจึงได้ช่วยกันทำงานตลอดคืนเพื่อกวาดข้อมูลจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยใช้ AI เพื่อการคัดแยก ผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยง เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ และพิกัดผู้ขอความช่วยเหลือ โดยมีอาสาสมัครช่วยตรวจสอบและคัดกรองข้อมูลก่อนส่งต่อเข้าสู่ jitasa.care เพื่อให้ทีมภาคสนามเข้าช่วยเหลือต่อได้ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาได้มีการคัดแยกและส่งต่อข้อมูลเข้าระบบแล้วกว่า 20,000 ข้อความจากหลายแพลตฟอร์ม
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าสิ่งจำเป็นที่สุดตอนนี้คือการรวมศูนย์ข้อมูลการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยเพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ อาสาสมัคร และภาคประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้างานเห็นข้อมูลที่ตรงกัน ไม่ทำงานซ้ำซ้อน มีการจัดลำดับความสำคัญ และเข้าช่วยเหลือได้ตรงจุด
อย่างไรก็ตาม การทำงานของอาสาสมัครในเวลานี้ยังไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากความไม่ชัดเจนของข้อมูลหลายด้าน แม้ปัจจุบันรัฐบาลจะมีการตั้งศูนย์รับมือสถานการณ์ของรัฐแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าใครคือผู้บัญชาการสถานการณ์กันแน่ มีความสับสนว่าศูนย์การสั่งการอยู่ที่ใคร ระหว่างผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือว่า ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ทั้งภาครัฐและอาสาสมัครภาคประชาชนที่ต้องเข้าพื้นที่ต้องฟังคำสั่งการหรือคำขอความร่วมมือจากใครเป็นที่สุด
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าจากการรับฟังข้อมูลจากทั้งประชาชน เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครภาคประชาชนในพื้นที่ สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนว่าการบริหารจัดการภัยพิบัติในเวลานี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ไม่มีคำสั่งการหรือคำชี้แนะที่ชัดเจนและเป็นระบบ การกระจายกำลังให้ความช่วยเหลือประชาชนยังเต็มไปด้วยความสับสน ต่างคนต่างทำ
ด้วยเหตุนี้ตนจึงขอย้ำข้อเสนอของตนอีกครั้งว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์ที่ตั้งขึ้นมาควรต้องมีการรวมศูนย์ข้อมูลที่เป็นไปในทิศทางเดียว คำสั่งต้องแน่ชัดเป็นทิศทางเดียวกัน กระจายกำลังทุกส่วนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่าสิ่งที่น่ากังวลต่อมาคือมุมมองต่อการจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สถานการณ์ล่าสุดที่ธรรมนัส ได้ออกมาชี้แจงว่ารัฐมีการแจ้งเตือนประชาชนแล้ว แต่ประชาชนไม่ยอมย้ายออกเอง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ดังจะเห็นได้ว่าก่อนเกิดเหตุอุทกภัย หน่วยงานรัฐหลายส่วนสื่อสารไปคนละทิศคนละทาง ส่วนที่แจ้งเตือนก็แจ้งเตือนแบบคลุมเครือไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าต้องอพยพหรือไม่ กว่าจะมีคำสั่งชัดเจนให้อพยพก็เกิดอุทกภัยในพื้นที่จนประชาชนออกมาไม่ได้แล้ว หนำซ้ำก่อนน้ำท่วมบางหน่วยงานยังบอกว่าเอาอยู่ ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล
ที่สำคัญไปกว่านั้น นอกจากรัฐบาลไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองที่มีการแจ้งเตือนไม่ชัดเจนและไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว รัฐบาลยังชี้แจงราวกับเป็นการกล่าวโทษประชาชน ปัดภาระให้พ้นตัว หรือหากจะไม่ยอมรับความผิด อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเน้นสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ มากกว่าที่จะปัดภาระและโทษประชาชนเช่นนี้.สิ่งที่รัฐต้องเร่งบริหารจัดการอย่างเร่งด่วนตอนนี้คือ ต้องมีแผนให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก เร่งตรวจสอบว่ามีบ้านไหนที่ยังตกค้างจากการอพยพออกมาจากบ้านที่พักอาศัย ให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์และอาหาร
รวมทั้งสำรวจพื้นที่พักพิงแต่ละแห่งว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ รวมทั้งให้สำรองกรณีที่มีความเสี่ยงอาจเป็นพื้นที่ประสบภัยเพิ่ม ณัฐพงษ์ย้ำว่า ทุกวินาทีที่ผ่านไป คือความเสี่ยงภัยของชีวิตประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น ขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชนและกำลังเดินหน้าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่






