บมจ.ฑีฆาก่อสร้าง หรือ TEKA เปิดกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 4.60 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 2, 6-8 มิถุนายนนี้ โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น เตรียมนำเงินระดมทุนกว่า 328 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องในโครงการก่อสร้างในอนาคต
บมจ.ฑีฆาก่อสร้าง (TEKA) เปิดเผยในไฟลิ่งว่า บริษัทเตรียมจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น และกำหนดราคาเสนอขายที่ 4.60 บาทต่อหุ้น โดยจะเปิดให้จองซื้อตั้งแต่วันที่ 2, 6-8 มิถุนายนนี้ โดยวันที่ 8 มิถุนายน จะเปิดให้จองซื้อถึงเวลา 12.00 น. และเบื้องต้นคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้
TEKA ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยเป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการ (Main Contractor) ซึ่งครอบคลุมงานตั้งแต่งานโครงสร้าง (Structure) งานสถาปัตยกรรม (Architecture) และงานระบบประกอบอาคาร (Mechanical & Electrical: M&E)
โดยหุ้น IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO จะจัดสรรดังนี้
- หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 7.71 ล้านหุ้น หรือ 10.29% เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ
- หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 778,700 หุ้น หรือ 1.04% เสนอขายต่อบุคคลผู้มีความสัมพันธ์และพนักงานของบริษัท
- หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 66.50 ล้านหุ้น หรือ 88.67% และส่วนที่เหลือจากการเสนอขาย 2 กลุ่มแรก จะเสนอต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย
สำหรับราคาหุ้น IPO ที่ 4.60 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E) โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Post-IPO Dilution) เท่ากับ 9.91 เท่า
ขณะที่บริษัทที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกัน คือ บมจ.ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) และ บมจ.พรีบิลท์ มีค่า P/E อยู่ที่ 18.65 เท่า และ 12.31 เท่าตามลำดับ
TEKA มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ประมาณ 328.45 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับงานก่อสร้างที่อาจเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ทั้งในด้านจำนวนโครงการและมูลค่าโครงการ รวมถึงใช้ในการจัดหา ซ่อมแซม และปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์การก่อสร้างต่างๆ
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 2,474.56 ล้านบาท และปี 2564 มีรายได้รวม 1,605.04 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 87.17 ล้านบาท และปี 2564 มีกำไรสุทธิ 126.02 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้รวม 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 440.64 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 1/65 จำนวน 53.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 40.41 ล้านบาท
โดยปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) มูลค่า 1,680 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ 80-85% ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการในไตรมาสต่อๆ ไปเติบโตใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา
สำหรับตลาดรับเหมาก่อสร้างปีนี้ คาดว่าจะเติบโตกว่าปี 2564 จากการฟื้นตัวของภาคเอกชน ทำให้มีความต้องการลงทุนเพิ่มในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์สำหรับอยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนเพิ่มเติมจากงานโครงการภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP