ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี’ ในปีที่ผ่านมาคือ ‘พระเอก’ อย่างแท้จริง ทั้งผลตอบแทนในระดับเท่าตัวและกระแสของเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันอนาคตหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเริ่มถูกตั้งคำถามว่าจะยังมีแนวโน้มเป็น ‘ขาขึ้น’ ได้ต่อเนื่องหรือไม่ หลังจากที่นักลงทุนทั่วโลกเริ่มกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่เริ่มสูงขึ้นจะกระทบต่อการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ผลตอบแทนของดัชนีอย่าง Nasdaq ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวลดลง 1.25% สวนทางกับดัชนี S&P 500 และดัชนี Dow Jones ที่เพิ่มขึ้น 0.67% และ 1.86% ตามลำดับ และหากพิจารณาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีโดยภาพรวมแล้วเริ่มเห็นการปรับฐานค่อนข้างชัดเจน
ขณะเดียวกันจะเห็นว่าแรงขายในหุ้นเทคโนโลยียังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อย่างกรณีของกองทุน ARK Investment ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก เผชิญกับแรงขายจนกดให้ผลตอบแทนของกองทุน ARK Innovation Fund ติดลบไป 11% เมื่อวานนี้ (23 กุมภาพันธ์) ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้ แต่ยังคงติดลบ 3.3% จากวันก่อนหน้า
ศรชัย สุเนต์ตา กรรมการผู้จัดการ SCB-CIO บล.ไทยพาณิชย์ มองว่าหลังจากที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อนจนถึงต้นปีที่ผ่านมา จากนั้นหุ้นกลุ่มนี้เริ่มถูกผลักดันต่อด้วยกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็ก อย่างธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Innovation, Next Generation หรือ Cloud Computing
ซึ่งบริษัทเหล่านี้ยังไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ แต่ถูกคาดหวังว่าจะมีการเติบโตในระดับ 50-100% ต่อปี ในขณะที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนตอบรับกับความคาดหวังดังกล่าว ซึ่งเราจะเห็นค่า P/E ของบริษัทเหล่านี้พุ่งขึ้นไปสูงถึงระดับ 60-70 เท่า และที่สำคัญคือกระแสเงินสด (Free Cash Flow) ของบริษัทเหล่านี้มักจะติดลบอยู่
“หากพูดถึงแนวโน้มหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาจต้องมองแยกกันระหว่างหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก ส่วนตัวมองว่าหุ้นเทคฯ ขนาดเล็กเริ่มเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากที่นักลงทุนรายย่อยซึ่งสนใจเรื่องของราคาหุ้นเป็นหลักเข้ามาเก็งกำไรเพิ่มขึ้น อย่างดัชนี S&P 500 สัดส่วนของรายย่อยเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 30% และมีการใช้ Leverage เพิ่มขึ้น”
ขณะเดียวกัน การลงทุนในกองทุนซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กอาจต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น อย่างกรณีของ ARK Investment ซึ่งเป็นกองทุนที่นักลงทุนสนใจมากเมื่อปีก่อน จะเห็นว่าสัดส่วนการถือครองหุ้นในพอร์ตของ ARK หลายตัวสูงจนเป็นระดับผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับแรกๆ ของบริษัท
เช่นเดียวกับกองทุนเทคโนโลยีที่เปิดขายใหม่ในระยะหลังที่มักจะเลือกลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กมากกว่าขนาดใหญ่ ซึ่ง NAV ของกองทุนเหล่านี้เริ่มปรับตัวลงบ้างแล้ว
สำหรับหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แม้ว่าการเติบโตจะไม่ได้สูงเท่าคาดการณ์ของหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็ก แต่จะเห็นว่ากระแสเงินสดของหุ้นขนาดใหญ่ค่อนข้างสูงมาก
ด้าน ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน มองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีโอกาสจะปรับฐานลงต่อ แม้ความกังวลจะลดลงไปชั่วคราว (หลังจาก Fed มีถ้อยแถลง) แต่ราคาหุ้นเทคโนโลยียังค่อนข้างแพง หลังจากที่เงินลงทุนไหลเข้าไปกระจุกตัวค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ จึงน่าจะเห็นการหมุนเงินลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
“ธีมการลงทุนปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว หากเป็นนักลงทุนที่เน้นลงทุนตามธีมก็ควรจะปรับพอร์ตเช่นกัน คือโยกเงินลงทุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีไปหาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มการเงิน ท่องเที่ยว และวัสดุ”
ล่าสุดจะเห็นว่าหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างจะ Underperform อย่างตลาดหุ้นฮ่องกงที่ปรับฐานลงวันนี้ ส่วนหนึ่งถูกกดดันจากหุ้นเทคโนโลยี หรือในกรณีของดัชนี Nasdaq ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยี แม้จะมีการรีบาวด์กลับมา แต่ภาพรวมยังคงติดลบ ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Dow Jones พลิกมาเป็นบวกได้
การปรับพอร์ตของนักลงทุนโดยทั่วไปอาจจะใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ ทำให้หุ้นเทคโนโลยีอาจปรับฐานลงได้อีก สำหรับนักลงทุนทั่วไปซึ่งถือหุ้นเทคโนโลยี หากเป็นนักลงทุนที่เน้นลงทุนยาวและถือมาด้วยต้นทุนต่ำ เชื่อว่ายังคงถือลงทุนต่อได้
หากเป็นการลงทุนระยะสั้นตามธีมน่าจะต้องขายออก เพราะภาพในปีนี้น่าจะกลับทิศกับเมื่อปีก่อน และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีโอกาสจะถูกกดดันจากนโยบายขึ้นภาษีธุรกิจของสหรัฐฯ ช่วงครึ่งปีหลัง หากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยรวมจึงมองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะผ่านจุดพีกไปแล้ว
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์