ผมเพิ่งกลับมาจากงาน Web Summit ที่โปรตุเกสครับ งานนี้เป็น Tech Conference ลำดับต้นๆ ของโลกเลย ผมเลยได้ไปฟังเรื่องราวเกี่ยวกับวงการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเยอะมาก ก็เลยอยากมาเขียนลงในบทความนี้
ทุกวันนี้เมืองเรามีปัญหาเยอะมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนล้นเมือง รถติด อุบัติเหตุ หรืออะไรอีกมากมายสารพัด ซึ่ง ณ ปัจจุบันโลกเรามีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองกว่า 50% โดย UN คาดการณ์ว่าภายในปี 2045 ประชากรโลกกว่า 6 พันล้านคน หรือ 2 ใน 3 ของประชากรโลกทั้งหมดจะใช้ชีวิตอยู่ในเมือง
และทุกๆ ปีจะมีคน 1.25 ล้านคนเสียชีวิต เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งตัวเลขนี้เท่ากับเครื่องบินโบอิง 747 ตกชั่วโมงละ 1 ลำ ทุกวัน
-1-
จอห์น คราฟซิก (John Krafcik) ซีอีโอของ Waymo เชื่อว่าเทคโนโลยีขับเองอัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบ (Fully Self-Driving Technology) (Waymo เคยเป็นส่วนหนึ่งของ Google Self Driving Dept ตั้งแต่ปี 2009 ก่อนจะแยกตัวออกมาในปี 2016) จะเป็นทางออกของการแก้ปัญหาเรื่องนี้
ที่ผ่านมาเราจะเห็น ‘Partially Autonomous Car’ หรือรถยนต์ที่ขับเองได้ แต่ยังต้องมีคนขับนั่งอยู่ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ขับแทนระบบอัตโนมัติ แต่ Waymo ต้องการทำมากกว่านั้น Waymo ต้องการ Fully Self Driving Car ที่ลบมนุษย์ สมการของการขับรถ ตัดคำว่า Human error ออกจากสารบบไป เพราะ 94% ของอุบัติเหตุรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์
รถยนต์ของ Waymo ได้รับการทดสอบบนถนนจริงมาแล้ว 5.5 ล้านกิโลเมตร รวมถึงการทดสอบในสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดได้บนท้องถนนกว่า 20,000 รูปแบบ ตั้งแต่มีของหล่นใส่รถ ไปจนถึงมีคนกระโดดออกจากกล่องกระดาษเพื่อมาตัดหน้ารถ รวมไปถึงฝูงไก่ข้ามถนนก็ยังทดสอบมาแล้ว
นอกจากนี้ Waymo ยังทดสอบการขับขี่ใน Simulator อีกด้วย โดยจำลองสถานการณ์ของรถกว่า 25,000 คัน ในสถานการณ์การขับขี่ที่ท้าทายที่สุดบนท้องถนน เฉพาะในหนึ่งปีที่ผ่านมา Waymo ได้ทำการวิ่งทดสอบรถยนต์ไปแล้วกว่า 4,000 ล้านกิโลเมตรใน Simulator
สิ่งที่ Waymo เห็นนั้นเหมือนกับที่มนุษย์เห็นตอนขับรถ และเหมือนกับที่มนุษย์ทำคือ เราจะคาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปรอบตัวเรา เช่น คนจะเดิน รถจะเลี้ยว ฯลฯ ข้อแตกต่างที่ใหญ่มากๆ คือ มนุษย์สามารถคาดการณ์สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ขณะที่ Waymo สามารถคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เป็นร้อยๆ อย่างพร้อมกัน และนี่คือเหตุผลว่าทำ Fully Autonomous Self-Driving Car จึงสามารถลดอุบัติเหตุได้จริง
การมี Fully Self Driving Technology จะเข้ามาเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเรากับรถยนต์ไปด้วยเช่นกันครับ เพราะปัจจุบันเวลาเราซื้อรถมา เราก็ต้องอยู่กับรถคันนี้ไปหลายปี เช่น เราซื้อรถ SUV มาเพราะเราอาจอยากพาครอบครัวไปเที่ยวป่าเขา แต่เอาเข้าจริงๆ ได้ไปแค่ปีละ 3 วัน ที่เหลือเราต้องเอารถที่สุดแสนกินน้ำมันนี้วิ่งติดอยู่บนทางด่วน และขับอยู่คนเดียวอีกต่างหาก ซึ่งนอกจากจะใช้ประสิทธิภาพของรถอย่างไม่เต็มที่แล้วยังเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
แถมอัตราการใช้งาน (Utilization rate) ของรถยนต์ที่เราซื้อมานั้นยังต่ำมาก เพราะเราใช้มันวิ่งเพียง 5-10% เท่านั้น ที่เหลือก็จอดไว้เฉยๆ นั่นหมายความว่าเราใช้ของที่เราซื้อด้วยราคาแพงรองจากบ้านอย่างไม่คุ้มค่าเลย
รถยนต์ปัจจุบันสำหรับคนส่วนใหญ่ (เน้นสำหรับคนส่วนใหญ่) จึงเป็นของที่ใช้ไม่คุ้ม แถมต้องอยู่กับตัวเลือกที่เลือกมาแล้วไปนานๆ เปลี่ยนฟังก์ชันบ่อยๆ ตามความต้องการไม่ได้อีกต่างหาก แต่ทว่า Waymo จะเข้ามาเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการเดินทาง รวมถึงการวางผังเมืองของเราไปเลย
ถ้าคนสามารถเรียกรถที่ตัวเองต้องการเมื่อไรก็ได้ และเหมาะสมกับความต้องการใช้ในวันนั้นๆ เช่น ถ้าจะไปหลายคน วันนี้อาจเลือกรถตู้ ถ้าจะบุกป่าก็เอา SUV หรือถ้าต้องการทำงานไปด้วยก็เลือก Moblie Office ถ้าอยากเดินทางไกลก็เลือกรถที่เป็นรถนอน หรือถ้าอยากไปเดตหรูๆ ก็จะมีรถหรูๆ มารับ
ถ้าวันหนึ่งมีแพลตฟอร์มแบบนี้ เราอาจจะไม่ต้องการเป็นเจ้าของรถอีกแล้วก็ได้ อนาคตข้างหน้า จำนวนรถยนต์ในเมืองก็จะน้อยลง ที่จอดรถก็จะน้อยลง เราจะมีพื้นที่เหลือไปทำสวนสาธารณะ และ public space เจ๋งๆ อีกเพียบ
โอเคครับว่าทั้งหมดฟังดูดีมากเลย แต่ว่าอีกนานแค่ไหนเราถึงจะได้ใช้เทคโนโลยีนี้กัน?
ทาง Waymo ได้ทำสำรวจคนกว่า 3,000 คนในสหรัฐอเมริกา คำตอบที่เร็วที่สุดที่มีคนคาดการณ์กันคือปี 2020 ซึ่งถ้าเป็นผม ผมตอบว่าปี 2025 แต่จอห์นได้เปิดเผยในงานนี้ว่า Waymo ที่ไร้มนุษย์อยู่ที่ที่นั่งคนขับได้ออกวิ่งแล้วบนถนนสาธารณะในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา แล้วครับ และกำลังจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้เอง
-2-
Self Driving Car ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่เจฟฟ์ โฮลเดน (Jeff Holden) ที่ทำงานเป็น CPO ของ Uber ได้พูดบนเวทีเดียวกันนี้ไว้ว่า รถยนต์ขับเองและ Model Ride-sharing ทั้งหมดอาจจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาอนาคตของเมืองได้
ถ้าไม่ได้แล้วยังไง?
ถ้าไม่ได้ เราก็ยังเหลือท้องฟ้าให้เดินทางกันอีกครับ Uber เชื่อว่าการเดินทางแบบ Ride-sharing บนท้องฟ้าสามารถแก้ปัญหาของเมืองใหญ่ได้ๆ
พอพูดถึง Ride-sharing บนท้องฟ้า หลายคนอาจจะนึกถึงเฮลิคอปเตอร์ แต่ Uber เคยคิดแล้วว่ามันเสียงดังเกินไป รวมถึงยังใช้เครื่องยนต์แบบสันดาป และมันแพงเกินไป รวมๆ กันแล้วเฮลิคอปเตอร์จึงไม่เหมาะกับการทำ Ride-sharing ในสเกลที่ Uber ต้องการจะทำ
Uber เลยคิดสิ่งที่เป็น Urban Aviation สำหรับที่เรียกว่า VTOL Aircraft (Vertical Take-off and Landing) เบื้องหลัง VTOL มีเทคโนโลยีสำคัญที่เรียกว่า DEP ซึ่งทำให้มันไม่ปล่อยไอเสียออกมาเลย (100% Emission-free) และมันยังเงียบมากอีกด้วยเมื่อเทียบกับเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากมันใช้พลังงานไฟฟ้า โดยการชาร์จหนึ่งครั้งใช้เวลาเพียง 3-4 นาที และเดินทางได้ราว 100 กิโลเมตร (ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการเดินทางในเมือง เพราะเดินทางในอากาศเป็นเส้นตรงๆ ไม่เหมือนถนน)
UberAIR ใช้ความเร็วเฉลี่ย 240-320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนด้านความปลอดภัย อากาศยานลำนี้ไม่มี Single part criticality จึงถือว่าค่อนข้างปลอดภัย เวลาในการเดินทางผ่านเมืองรถติดที่เคยใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงจะลดลงเหลือหลักนาทีเท่านั้น นี่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเดินทางในเมืองไปเลย!
ทาง Uber ได้เซ็นสัญญากับ Air Space Management และ NASA เพื่อบริหารจัดการน่านฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ UberAIR จะเพิ่มปริมาณอากาศยานบนท้องฟ้าในสเกลที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
แล้วราคาล่ะ? คนธรรมดาจะเข้าถึงได้ไหม? หรือนี่คือบริการสำหรับคนรวยอย่างเดียวหรือเปล่า? เจฟฟ์บอกว่าเป้าหมายของ Uber คือ UberAIR ถูกกว่าการขับรถยนต์ของคุณเอง โดยราคาของมันจะประมาณเดียวกับ UberX เท่านั้นเอง
โอเค มันเจ๋งมาก แต่เราต้องรออีกกี่สิบปีจึงจะได้ใช้? ให้ผมทายในใจ ผมกะว่าสักอีก 20 ปี แต่เจฟฟ์ประกาศบนเวทีครับว่า UberAIR จะเริ่มบินที่ลอสแอนเจลิสในปี 2020
โลกของ Technology Disruption มาเร็วและแรงกว่าที่เราคิดมากครับ ใครที่คิดว่าโลกรอบตัวยังไม่เปลี่ยน เรายังไม่ต้องปรับตัวก็ได้
ลองคิดดูใหม่นะครับ เพราะความเปลี่ยนแปลง มันรอคุณอยู่ที่หัวมุมถนนนี่เองครับ
Photo: waymo.com, Uber