×

TDRI เปิดทางรอดไทยในสงครามการค้า

03.04.2025
  • LOADING...
tdri-thailand-trade-war

ผอ.วิจัย ทีดีอาร์ไอ Economic Intelligence Service (EIS) แนะทางรอดไทยในสงครามการค้า ชี้มี 3 ประเด็นที่สหรัฐฯ หวังให้ไทยใช้แลกเปลี่ยน ประเมินภาพรวมส่งออกปีนี้โต 2% ห่วงนักลงทุนต่างชาติทบทวนลงทุนหลังได้บัตร BOI แล้ว แนะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเร่งหาช่องแทรกแซงตลาดสินค้าจีน-เวียดนามในสหรัฐฯ เพราะถูกขึ้นภาษีมากกว่าไทย มองภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัว – ดอกเบี้ยขาลง 

 

วันนี้ (3 เมษายน) ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผอ.วิจัย Economic Intelligence Service (EIS) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงผลกระทบจากการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าหลายประเทศ โดยไทยถูกเพิ่มอัตราภาษีที่ 36% ว่า ผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งโลก เพราะทุกประเทศที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะถูกคิดภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 10% ในวันที่ 5 เมษายนนี้ ส่วนประเทศไทยเป็น 1 ใน 60 กว่าประเทศที่ถูกเพิ่มภาษีในอัตราสูงกว่านั้น โดยในเอกสารทางการของสหรัฐระบุไว้ที่ 37% ซึ่งอัตราดังกล่าวจะเริ่มในวันที่ 9 เมษายนนี้ อย่างไรก็ตามมีบางประเทศในอาเซียนที่ถูกเก็บภาษีในอัตรามากกว่าไทย เช่น เวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา ส่วนจีนที่ถูกภาษีเพิ่มอีก 34% จากเดิมที่อัตราได้ปรับขึ้น 20% อยู่แล้ว ทำให้จีนถูกเก็บภาษีนำเข้าที่ 54% 

 

ดร.กิริฎา ยกตัวอย่างสินค้าส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบหลักๆ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงอยู่ใน 20 อันดับแรก ซึ่งคิดเป็น 64% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ อย่างเช่น หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ รวมทั้งส่วนประกอบและชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ไทยมีเม็กซิโกเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งการขึ้นภาษีครั้งนี้จะทำให้ไทยต้องจ่ายภาษีนำเข้าที่ 38.5% (รวมกับอัตราเดิมจ่าย 1.5%) ในขณะที่เม็กซิโกจ่ายภาษี 25% เท่านั้น นอกจากนี้การขึ้นภาษีดังกล่าวยังทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอ รวมทั้งคู่ค้าอื่นของไทยด้วย ดังนั้นคาดว่าปีนี้ส่งออกของไทยจะโตอยู่ที่ 1-2% ขณะที่ปีที่ผ่านมาโตที่ 5.4% 

 

ดร.กิริฎา กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาคือการประเมินคู่แข่งของไทยที่ผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ว่าถูกขึ้นภาษีมากกว่าหรือน้อยกว่าไทย เพราะนั่นหมายถึงโอกาสในการแข่งขันบนสนามที่มีกติกาใหม่ ซึ่งไทยอาจสามารถส่งสินค้าไปทดแทนสินค้าของประเทศอื่นๆ ที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูงกว่าไทยได้ เพราะปีแรกของการขึ้นภาษีสหรัฐฯ คงไม่สามารถผลิตสินค้าในประเทศมาทดแทนสินค้าได้ทัน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำเข้าอยู่ดี 

 

“เราก็อาจจะมีโอกาสเพิ่มการส่งออกไปสหรัฐฯ ในสินค้าที่คู่แข่งของไทยถูกขึ้นภาษีมากกว่าเรา เช่น จีน 54% เวียดนาม 46% แต่ไทย 36% ดังนั้นเราอาจสามารถแข่งขันในเรื่องราคาได้ เช่น ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ นี่คือโอกาสของไทยในครั้งนี้ ซึ่งเราเห็นได้จากสมัยทรัมป์ 1 ที่หลังจากที่จีนถูกตั้งกำแพงภาษี สหรัฐฯ ก็หันไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่นเพิ่มขึ้น เช่น ไทย เวียดนาม และไต้หวัน แทนสินค้าจากจีนในตอนนั้น ”ดร.กิริฎา ระบุ 

 

นอกจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการส่งออกของไทยแล้ว สินค้านำเข้าน่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากทุกประเทศต้องหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนและสินค้าประเภทเหล็ก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องการให้นานาประเทศรวมทั้งไทยเจรจาเพิ่มเติมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าเดิม แลกกับการขอปรับลดอัตราภาษีนำเข้า เพราะในเอกสารของสหรัฐฯ ระบุว่าทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้หากมีการเจรจา โดยประเมินว่ามี 3 แนวทางที่ทางสหรัฐฯ ต้องการจากไทย ได้แก่

 

  1. อาจขอให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ โดยสินค้าที่ไทยเรียกเก็บสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยมาก เช่น ไวน์ เบียร์ เนื้อวัว รถยนต์ รวมถึงสินค้าเกษตรหลายชนิด ซึ่งสินค้าเกษตรมีความสำคัญกับประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากเกษตรกรเป็นฐานเสียงหลัก 

 

  1. อาจขอให้ไทยเพิ่มโควตานำเข้าสินค้าบางประเภทมากขึ้น เช่น ข้าวโพด และกาแฟ ที่ไทยมีการกำหนดโควตานำเข้า 

 

  1. อาจขอให้ไทยลดข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานสุขภาพ เช่น ให้ไทยอนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ซึ่งไทยกังวลว่ามีสารเร่งเนื้อแดงเกินมาตรฐาน ดังนั้นไทยควรพิจารณาเจรจาเพื่อเปิดตลาดสินค้าที่มีผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยหรือจะส่งผลดีกับผู้บริโภคในไทยในลำดับแรก นอกจากนี้สหรัฐฯ อยากให้ประเทศต่างๆ มีการไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้นด้วย 

 

ดร.กิริฎา กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือท่าทีของธุรกิจต่างชาติที่ต้องการมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีภาคธุรกิจจากต่างประเทศจำนวนมากที่มาขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และได้รับบัตรส่งเสริมไปแล้วในสองปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้เข้ามาลงทุน เมื่อมีความไม่แน่นอนนี้เกิดขึ้นและไทยถูกขึ้นภาษี 36% บางธุรกิจอาจจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์หลังการเจรจาระหว่างประเทศต่างๆ กับสหรัฐฯ 

 

ดร. กิริฎา ยังกล่าวถึงภาพรวมทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคด้วยว่า เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทิศทางของเงินเฟ้อและดอกเบี้ยน่าจะเป็นขาลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีการลดดอกเบี้ยอีก 1-3 ครั้งในปีนี้ เช่นเดียวกับทิศทางดอกเบี้ยของไทยน่าจะลงเช่นเดียวกัน คาดว่า กนง. จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% อีก 1-2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินบาทไทยจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากปีที่แล้ว รวมถึงเงินที่จะไหลเข้าประเทศเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเพียงเล็กน้อย ทั้งจากการค้าและภาคท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าเกือบจะมากที่สุดในอาเซียน เป็นรองเพียงมาเลเซียเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ประเทศที่ค่าเงินถูกกว่าไทยได้เปรียบไทยในการส่งออก 

 

“ต้องยอมรับว่าสงครามการค้าระดับโลกครั้งนี้จะส่งผลกระทบทางลบกับเศรษฐกิจโลกและไทย แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสสำหรับธุรกิจไทย ภาครัฐ และเอกชนไทยจึงต้องร่วมกันลดผลกระทบและบริหารความเสี่ยง รวมถึงใช้โอกาสที่มาในครั้งนี้” ดร.กิริฎา ระบุ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising