บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รายงานผลดำเนินงานช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 มียอดค้ำประกันสินเชื่อรวม 35,781 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ บสย. ดำเนินการเอง 51% และโครงการตามมาตรการภาครัฐ 49%
การค้ำประกันดังกล่าวก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน 46,635 ล้านบาท ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 45,337 ราย และช่วยรักษาการจ้างงานกว่า 467,000 ตำแหน่ง โดยคิดเป็นมูลค่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการค้ำประกันกว่า 147,776 ล้านบาท
สิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. ระบุว่า โครงสร้างการค้ำประกันในปีนี้ยังคงกระจุกตัวในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย โดย 85% เป็น Micro SMEs และกว่า 70% เป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยใช้บริการค้ำประกันมาก่อน สะท้อนข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจขนาดเล็กในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
โครงการรัฐยังเป็นแรงหลัก พยุงการปล่อยสินเชื่อ
สำหรับโครงการค้ำประกันตามมาตรการรัฐ PGS 11 ‘บสย. SMEs ยั่งยืน’ ตั้งแต่เปิดโครงการในเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568 มียอดค้ำประกันสะสม 46,147 ล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 66,821 ราย
ขณะที่โครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ ภายใต้มาตรการ ‘กระบะพี่ มีคลังค้ำ’ ทั้งรถใหม่และรถมือสอง มียอดค้ำประกันรวม 1,106 ล้านบาท ช่วยให้ SMEs เข้าถึงรถเชิงพาณิชย์ 1,662 คัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ บสย. ขยายการค้ำประกันไปยังสินเชื่อประเภทนี้
ในเชิงโครงสร้างธุรกิจ สัดส่วนการค้ำประกันสูงสุดยังอยู่ในภาคบริการ 33.2% รองลงมาคืออาหารและเครื่องดื่ม 10.3% และภาคเกษตรกรรม 7.9% รวมกันคิดเป็นกว่า 51% ของยอดค้ำประกันทั้งหมด
เดินหน้าแก้หนี้ ควบคู่การปล่อยค้ำประกันใหม่
ด้านการจัดการหนี้ บสย. รายงานว่า ตั้งแต่เริ่มมาตรการ ‘บสย. พร้อมช่วย’ หรือมาตรการ 3 สี ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน สามารถช่วยลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมแล้ว 23,664 ราย คิดเป็นมูลหนี้สะสม 15,439 ล้านบาท
เฉพาะช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ มีการปรับโครงสร้างหนี้ 5,250 ราย มูลหนี้ 3,588 ล้านบาท และสามารถช่วยลูกหนี้ปลดหนี้ได้ 882 ราย ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งเป็นลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีเงินต้นไม่เกิน 200,000 บาท
สินเชื่อ SMEs ยังหดตัว รัฐใช้กลไกค้ำประกันเสริมสภาพคล่อง
สิทธิกร ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเครดิต ส่งผลให้สินเชื่อ SMEs ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังหดตัวต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2568 หดตัว -1% จากปีก่อน และเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5
ขณะที่สินเชื่อ SMEs หดตัวแรงขึ้นเป็น -4% จาก -3.3% ในไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนความระมัดระวังของสถาบันการเงินต่อความเสี่ยงด้านเครดิตและปัญหาเชิงโครงสร้างของ SMEs
ภายใต้บริบทดังกล่าว คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 เห็นชอบมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ ‘บสย. Quick Big Win’ วงเงินค้ำประกันรวม 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและลดภาระความเสี่ยงของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้ SMEs
ปี 2569 โฟกัสบทบาท ‘กลไกค้ำประกัน’ มากกว่าปริมาณ
สำหรับทิศทางปี 2569 บสย. ระบุว่าจะมุ่งปรับบทบาทจากการขยายปริมาณการค้ำประกัน ไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพเชิงโครงสร้าง ทั้งการใช้ข้อมูลเครดิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม และการแก้หนี้ลูกหนี้รายย่อยควบคู่กัน เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกเสริมระบบสินเชื่อ มากกว่าการทดแทนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยกำหนดแนวทางดำเนินงานหลัก 4 ด้าน ได้แก่
1. การบูรณาการข้อมูล TCG Score ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามนโยบายกระทรวงการคลัง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ SMEs รายย่อยที่มีข้อจำกัดด้านเครดิต สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น และมีต้นทุนทางการเงินสอดคล้องกับระดับความเสี่ยง
2. การยกระดับสำนักงานเขต บสย. ทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศ ให้ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงทางการเงิน ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อคัดกรองข้อมูลผู้ประกอบการ และส่งต่อไปยังสถาบันการเงินที่เหมาะสม
3. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อแบบเฉพาะกลุ่ม (Specific Segment Guarantee) จากเดิมที่แบ่งตามกลุ่มลูกค้า 5 กลุ่ม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของ SMEs ในแต่ละภาคธุรกิจได้ตรงจุดมากขึ้น
4. การเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลมแล้ว และมีเงินต้นไม่เกิน 200,000 บาท ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” เพื่อช่วยให้สามารถกลับเข้าสู่ระบบการเงินได้ในระยะยาว


