เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ได้อัปโหลดภาพขึ้นอินสตาแกรม @taylorswift ที่มีคนตามกว่า 112 ล้านคน พร้อมประกาศจุดยืนทางการเมืองสนับสนุน จิม คูเปอร์ และฟิล เบรเดเซน ผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ว. จากพรรคเดโมแครต นั่นคือจุดเริ่มต้นของคลื่นลูกใหญ่ที่กลายเป็นข่าวไปทั่วโลกออนไลน์ทันที
ย้อนกลับไปตั้งแต่นักร้องสาว เทย์เลอร์ สวิฟต์ ออกซิงเกิลแรก Tim McGraw ในปี 2006 จนถึงซิงเกิลล่าสุดอย่าง Delicate ภาพลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้ในวงการบันเทิง ถือได้ว่าวางเกมมาดีตลอด ถึงแม้เรื่องราวความรักจะเป็นข่าวครึกโครมตลอดเวลา และมีประเด็นกับศิลปินลงข่าวหน้าหนึ่งเสมอ แต่ชื่อเสียงของเธอก็ไม่เคยลดน้อยลง และฐานแฟนคลับก็ยังถือว่าเหนียวแน่นมากที่สุดในทศวรรษนี้ก็ว่าได้ เห็นได้จากอัลบั้มล่าสุด Reputation ที่ยังคงขายได้หลักล้านแผ่นในสัปดาห์แรก แม้จะมีการโปรโมตที่ถือว่าน้อยมาก และคอนเสิร์ต ‘The Reputation Stadium Tour’ ของเธอที่กำลังจะเสร็จสิ้นก็ทำเงินไปแล้วกว่า 280 ล้านเหรียญ และกำลังจะก้าวเป็นหนึ่งในทัวร์ศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล เอาชนะ เซลีน ดิออน (Céline Dio), เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) และ บียอนเซ่ (Beyoncé)
แต่หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เทย์เลอร์ยังคงเป็นที่รักได้เสมอ เพราะเธอฉลาดเลือกที่จะไม่เอาตัวเองไปคลุกคลีกับประเด็น ‘การเมือง’ ของประเทศสหรัฐอเมริกา มากสุดก็แค่ออกมาประกาศเชิญชวนให้คนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งต่างจากช่วงการหาเสียงยุค โอบามา/ไบเดน หรือทรัมป์/คลินตัน ที่เพื่อนศิลปินในวงการต่างออกมาพูดเรื่องการเมือง และช่วยหาเสียงแบบถึงขั้นสุดขีด ที่รวมไปถึงเพื่อนๆ ในแก๊งของเธอด้วย
ถามว่าทำไม? แน่นอน เหตุผลเบสิกก็คงเป็นเรื่อง ‘สิทธิส่วนบุคคล’ ที่เทย์เลอร์อาจมองว่าศิลปินก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ตนเองจะเลือกพูดหรือไม่พูดอะไรก็ได้ แต่เอาเข้าจริง เรากลับมองว่าเทย์เลอร์เป็นศิลปินที่รู้ว่าตัวเองมีแฟนเพลงทั่วภูมิภาคของอเมริกาจริงๆ จากทุกพรรคการเมือง และเพราะเธอเองเริ่มมาจากการเป็นศิลปินคันทรี (ก่อนจะ crossover มาสายเพลงป๊อป) ที่ฐานแฟนเพลงมาจากรัฐสีแดงที่สนับสนุนพรรครีพลับลิกัน ถ้าเธอออกมาพูดถึงจุดยืนทางการเมือง เธออาจเสียเครดิตได้มหาศาล และแบรนดิ้งการเป็นศิลปินที่เดินสายกลางและไม่มีพิษมีภัยอาจสั่นคลอน ซึ่ง Domino Effect อาจเลวร้ายสุดๆ ก็ได้ และพังทลายแบรนด์ ‘Taylor Swift’ ที่สร้างมาถึงจุดสูงสุดของวงการบันเทิง
คุณแค่ต้องนึกภาพในอดีตที่พระเอกนางเอกในประเทศไทยไปสนับสนุนการเมืองฝ่ายหนึ่ง และเกิดอะไรขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่เทย์เลอร์อาจต้องพบเจอ
แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ช่วงการเลือกตั้งทรัมป์กับคลินตันในปี 2016 หลายฝ่าย รวมถึงคนบันเทิง ก็ออกมาวิจารณ์เทย์เลอร์ว่า เธอไม่ยอมออกมาใช้พลังและอิทธิพลตัวเองในการผลักดันให้คนออกมาโหวต โดยเฉพาะในกลุ่ม Young Adult อายุ 18-25 ที่เป็นสัดส่วนของสังคมที่เป็นตัวแปรสำคัญของผลเลือกตั้ง และเธอมีอิทธิพลสูงมากๆ โดยบางคนถึงขั้นตีความและคิดว่าเธออาจสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยซ้ำ เพราะถ้าเชียร์ฮิลลารีจริงๆ และพูดถึงเรื่องพลังหญิงมาตลอดในบทเพลง เธอก็น่าจะออกมาสนุนหรือพูดอะไรบ้าง
แต่เทย์เลอร์ก็ดูเหมือนปล่อยผ่านเรื่องการเมืองเสมอ ไม่ออกความเห็นใดๆ และเธอก็ขอช่วยเหลือประเด็นสังคมอื่นๆ ที่ไม่ดูสุ่มเสียงกับชื่อเสียง
จนเมื่อวันที่อาทิตย์ที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา เธอได้อัปโหลดภาพขึ้นอินสตาแกรมตัวเอง @taylorswift ที่มีคนตามกว่า 112 ล้านคน พร้อมข้อความประกาศจุดยืนทางการเมือง ว่าจะลงคะแนนสนับสนุน จิม คูเปอร์ และฟิล เบรเดเซน ผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ว. จากพรรคเดโมแครต เพื่อเป็นตัวแทนเสียงทางการเมืองของเธอในการเลือกตั้งมิดเทอมที่จะถึงนี้ โดยเทเลอร์ยังบอกว่า ถึงแม้จะอยากเห็นผู้หญิงมีตำแหน่งในสภามากขึ้น แต่เธอก็ไม่สามารถสนับสนุน มาร์ชา แบล็กเบิร์น ผู้สมัคร ส.ว. ของรัฐเทนเนสซี จากพรรครีพับลิกัน ได้ เพราะมาร์ชามีหลักการทางการเมืองที่ตรงข้ามกับเธอ ทั้งเรื่องการจ่ายค่าแรงเท่าเทียมต่อผู้หญิงและเรื่องไม่สนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน
จากแค่หนึ่งโพสต์ก็มีคนมากดไลก์เกือบ 1.5 ล้านครั้ง และได้สร้างกระแสที่ถาโถมเข้ามาใส่ตัวเทย์เลอร์ทั่วอินเทอร์เน็ต และเป็นข่าวหน้าหนึ่งทันที แม้เทย์เลอร์จะระงับการคอมเมนต์ในอินสตาแกรมของเธอก็ตาม โดยหลายคนในวงการบันเทิงอย่าง เดบรา เมสซิง (Debra Messing) และ ไทเลอร์ โอ๊คเลย์ (Tyler Oakley) ก็ได้ชื่นชมและขอบคุณเทย์เลอร์ ส่วน เคที เพอร์รี (Katy Perry) เองก็ได้กดไลก์ภาพ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะบนพื้นฐานชาวฮอลลีวูดก็อยู่พรรคเดโมแครต แถม ฟิล เบรเดเซน เองก็ออกมาขอบคุณเทย์เลอร์อย่างรวดเร็วที่สนับสนุนเขา
แต่ที่น่ากลัวคือ คอมเมนต์บนทวิตเตอร์จากคนทั่วไป ที่ออกมาต่อว่าเทย์เลอร์อย่างหนักหน่วง ทั้งกล่าวหาว่า เธอควรแค่ผลักดันเรื่องให้คนออกมาใช้สิทธ์ิอย่างเดียว, หาว่าเพราะเทย์เลอร์ได้กลายเป็นชาว ‘ฮอลลีวูด’ ไปแล้ว เธอเลยลืมรากฐานการเป็นนักร้องคันทรี, หาว่าเธอไม่ได้ศึกษาเรื่องการเมืองมาดี หรือบางคนก็ถึงขั้น Unfollow เธอไปเลย
หากถามว่ากระแสดูรุนแรงไหม? ก็ต้องดูในระยะยาวว่าจะมากน้อยขนาดไหน เพราะสมัยนี้ด้วยความเร็วของโลกออนไลน์ที่ส่งผลต่ออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คนก็อาจลืมประเด็นนี้ หากเทย์เลอร์ไม่ได้ถึงขั้นออกมาเป็นแกนนำช่วงการเลือกตั้ง และยังคงทำเพลงฮิตติดหูสำหรับฐานแฟนเพลงของเธอ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เราได้เห็นชัดเจนว่า พลังของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ลดลงเลยสักนิด และการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2020 หากเธอตัดสินใจอยากมีส่วนช่วยในการหาเสียง ไม่ว่าจะรูปแบบไหน และจะของพรรคการเมืองอะไร เราเชื่อว่าเธอจะเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะพลิกเกมการเมืองได้อย่างไม่คาดคิด
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: