ลวรรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงเรื่องมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ว่าเป็นการจ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ชำระเงินที่ใช้ ‘บัตรเดบิตของตนเอง’ ทุกประเภทที่ออกในประเทศไทยและมีการใช้จ่ายในประเทศไทย กรณีนี้ไม่นับรวมบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และต้องซื้อสินค้าและบริการที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ไม่นับรวมสินค้าและบริการที่มีภาษีสรรพสามิต เช่น สุรา ยาสูบและน้ำมัน เป็นต้น และซื้อภายในวันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2562 กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ใช้ระบบบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale: POS) ซึ่งสามารถแยกจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ออกจากราคาสินค้าและบริการได้เท่านั้น
รัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวน 5% โดยจ่ายเงินชดเชยสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาทต่อคน ผ่านระบบพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยภายในเดือนพฤศจิกายน 2562 ผู้ที่สนใจรับเงินจากมาตรการนี้ ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการในช่วงเวลา ช่องทาง และตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ผู้ประกอบการร้านค้าที่มีระบบ POS ต้องปรับปรุงและทดสอบระบบเพื่อให้สามารถส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ เช่นเดียวกับระบบที่ใช้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
กระทรวงการคลังเน้นย้ำว่า มาตรการนี้ต้องการส่งเสริมการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เงินสด การผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งบูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ขณะเดียวกันทางรัฐบาลชี้แจงว่า งบประมาณในการรองรับมาตรการดังกล่าวคิดเป็นเงิน 9,240 ล้านบาท และไม่ได้หวังผลทางการเมืองแต่อย่างใด
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- กระทรวงการคลัง