×

เจาะนโยบายเศรษฐกิจ ‘ทาคาอิชิโนมิกส์’ 3 ลูกศรใหม่ของนายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น ความหวังดันหุ้นทะยานต่อ

10.10.2025
  • LOADING...
ทาคาอิชิ

ญี่ปุ่น กำลังจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือ ซานาเอะ ทาคาอิชิ มีจุดยืนที่ชัดเจนในด้านการเป็นสาย ‘Dovish’ โดยมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพานโยบายการเงินเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัว และไม่ควรเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป

 

นิสารัตน์ ชมพูพงษ์ ผู้อำนวยการ Wealth and Investment Advisory SCB CIO ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth เผยถึงทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนในญี่ปุ่น ภายหลังการเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ โดยระบุว่า การปรากฏตัวของ ซานาเอะ ทาคาอิชิ ในฐานะว่าที่ผู้นำหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ตลาดตอบรับในเชิงบวกอย่างมาก เนื่องจากชัยชนะในการเลือกตั้งภายในนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางเศรษฐกิจที่จะเดินหน้าอย่างชัดเจน

 

SCB CIO วิเคราะห์ว่า นโยบายของ ทาคาอิชิ จะเป็นการสานต่อความสำเร็จของนโยบาย Abenomics แต่มาในแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Ega-nomics ซึ่งมุ่งเน้นการใช้เครื่องมือทั้งนโยบายการเงินและการคลังควบคู่กัน พร้อมทั้งสอดรับกับการจัดการความท้าทายในยุคปัจจุบัน ได้แก่ ปัญหาเงินเฟ้อ เทคโนโลยี และความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Security)

 

โครงสร้าง ‘ทาคาอิชิโนมิกส์ 3 มิติขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

 

โครงสร้างหลักของนโยบายเศรษฐกิจภายใต้การนำของ ทาคาอิชิ แบ่งออกเป็นสามเสาหลัก ดังนี้ 

 

1. นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (Dovish Monetary Policy)

 

ทาคาอิชิ มีจุดยืนที่ชัดเจนในด้านการเป็นสาย “Dovish” โดยมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพานโยบายการเงินเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัว และไม่ควรเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป

 

ทั้งนี้การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลและ BOJ เป็นสิ่งสำคัญ โดยจะต้องมีการสอดประสานนโยบายระหว่างกัน

 

แม้ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ 2.7% แต่การที่ ทาคาอิชิ ได้รับเลือกเป็นผู้นำ ทำให้ SCB CIO มองว่า แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในรอบการประชุมเดือนตุลาคม (29-30 ต.ค.) น่าจะเลื่อนออกไปก่อน และอาจเกิดขึ้นในปีหน้าแทน

 

ขณะที่ทิศทางการเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) ของดอกเบี้ยยังมีอยู่ แต่จะเป็นไปอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยช้าลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

 

2. นโยบายการคลังที่ยืดหยุ่นพร้อมวินัย (Flexible Fiscal Policy)

 

คาดการณ์ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีการใช้นโยบายการคลังที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งตลาดคาดหวังว่าจะมีการเพิ่มการใช้จ่าย (Spending)

 

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การลดภาษี และนโยบายคล้าย ‘Cash and Out’

 

อย่างไรก็ตาม ทาคาอิชิยังให้ความสำคัญกับวินัยทางการคลัง เนื่องจากญี่ปุ่นมีสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่สูงถึง 260% การดำเนินนโยบายการคลังจึงต้องมีการเสริมวินัยทางการเงินการคลังควบคู่กันไป

 

3. การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Investment)

 

นโยบายจะมุ่งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ถือเป็นยุทธศาสตร์สำหรับการเติบโตในระยะยาวของประเทศ

 

กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่จะได้รับการสนับสนุน ได้แก่ ธุรกิจ AI, เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor), และธุรกิจนิวเคลียร์/พลังงาน ซึ่งจะช่วยต่อยอดและทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตได้ในระยะถัดไป

 

 

ค่าเงินเยน อ่อนค่าในระยะสั้น หนุนตลาดส่งออก

 

หลังชัยชนะของ ทาคาอิชิ ค่าเงินเยนได้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 150 เยน ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่ 146 ก่อนการเลือกตั้ง

 

สำหรับสาเหตุเป็นผลมาจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายกว่าที่คาด และระดับดอกเบี้ยของญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0 5%

 

โดยแนวโน้มระยะสั้น ค่าเงินเยนมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในกรอบที่อ่อนค่าต่อไป ส่วนแนวโน้มระยะยาวการกลับมาทบทวนอาจเกิดขึ้นในปีหน้า หาก BOJ ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อย

 

มุมมอง SCB CIO ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ‘ขึ้นแล้วขึ้นต่อ’

 

SCB CIO ชื่นชอบตลาดหุ้นญี่ปุ่นและแนะนำให้ลูกค้าให้น้ำหนักการลงทุนมาโดยตลอด และเชื่อว่าภาพรวมของตลาดจะยังคงอยู่ในทิศทาง “ขึ้นแล้วขึ้นต่อ” โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 5 ประการ:

 

  1. การฟื้นตัวเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic) ชัดเจน: โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว เป็นปัจจัยเสริมสำคัญในการเติบโตของ GDP ญี่ปุ่น

 

  1. ค่าเงินเยนอ่อนค่าช่วยเพิ่มกำไร: ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบริษัทจดทะเบียนของญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทส่งออก ทำให้มีกำไรที่ดีขึ้น

 

  1. การปฏิรูปบรรษัทภิบาล (Corporate Reform) เห็นผล: การดำเนินการปฏิรูปตลาดและธรรมาภิบาลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัญหาการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Brand Discount) ปรับตัวดีขึ้น

 

    • ROE ของบริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นสูงที่สุดในรอบ 40 ปี 
    • ยอดการซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สูงกว่ายอดรวมทั้งปีของปีที่แล้ว

 

  1. รับอานิสงส์ธีม AI และเทคโนโลยี: ญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และจะได้รับประโยชน์จากกระแส AI และ Semiconductor ทั่วโลก รวมถึงนโยบายของ ทาคาอิชิ ที่สนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจขั้นสูง (Advanced Economy)

 

  1. นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเพิ่มขึ้น: สัดส่วนการถือครองหุ้นญี่ปุ่นของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 15% ในปี 2000 เป็นประมาณ 32% ใน

 

ปัจจุบัน การประกาศลงทุนของ Warren Buffett (Berkshire Hathaway) ในปี 2019 เป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นความสนใจของนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาในตลาดมากขึ้น

 

แนะเลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาว

 

แม้จะมองบวกต่อตราสารทุน (หุ้น) แต่ SCB CIO แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวของญี่ปุ่น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวสูงขึ้นมาก อันเป็นผลมาจากความกังวลต่อนโยบายการคลังและระดับหนี้ของประเทศที่อยู่ในระดับสูง

 

ภาพ: Victor SG/Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising