จุดเปลี่ยนสำคัญของญี่ปุ่นเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อ ซานาเอะ ทาคาอิจิ (64 ปี) ชนะเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP เมื่อ 4 ต.ค. 2025 เปิดทางขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น
นักลงทุนไทยต้องทำความรู้จัก เข้าใจนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อประเมินแนวโน้มตลาดทุนญี่ปุ่น เตรียมพร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนตั้งแต่ตอนนี้
เริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่และนโยบายเศรษฐกิจก่อน
ทาคาอิจิ เป็นนักการเมืองที่มีบทบาทหลักในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะ ขึ้นเป็นผู้นำด้วยนโยบายกระตุ้นการคลังแบบอนุรักษ์นิยม
ทาคาอิจิเป็นนักการเมืองมืออาชีพ ทำงานใกล้ชิดอดีตนายกอาเบะ เคยคุมกระทรวงมหาดไทยและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ จุดแข็งคือระเบียบวินัย และความเด็ดขาด เธอยก Margaret Thatcher อดีตผู้นำอังกฤษเป็นแรงบันดาลใจ
ส่วนในฝั่งเศรษฐกิจ นโยบายสำคัญประกอบด้วยการกระตุ้นการคลัง สนับสนุน demand-driven inflation และเน้นต่อยอดการกำกับดูแลกิจการในตลาดหุ้น
นโยบายหลักที่ทาคาอิจิใช้ในการหาเสียงคือ การลดภาษี ควบคู่ไปกับการให้เงินชาวญี่ปุ่นเพื่อพยุงกำลังซื้อ ตัวอย่างเช่นการสนับสนุนภาษี 0% สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภท เช่นอาหารและพลังงาน หรือการให้เงินสนับสนุนเพื่อการใช้จ่ายเพื่อช่วยค่าครองชีพ
นโยบายเหล่านี้ ตั้งเป้าหมายไปที่การทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้นจากกำลังซื้อจริง ไม่ใช่จากต้นทุนภาษี โดยมีเป้าหมายหลักคือการฟื้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ก่อนเป้าหมายด้านวินัยการคลัง
เมื่อเราเข้าใจเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจจากฝั่งการเมืองแล้ว สิ่งที่ต้องคิดต่อคือนโยบายการเงินและผลกระทบกับตลาดทุน
การปรับโครงสร้างนโยบายเหล่านี้ มีแนวโน้มหนุนบอนด์ยีลด์ให้ปรับตัวสูง เงินเยนอ่อนค่า แต่ตลาดหุ้นมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวก
ผมประเมินว่า นโยบายเศรษฐกิจของทาคาอิจิ จะต้องผสานกระตุ้นทางการคลัง เข้ากับความร่วมมือของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เหมือนสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพื่อผลักดันเงินเฟ้อ กำไรภาคเอกชน และค่าแรงไปพร้อมกัน นโยบายการคลังต้องเร่งเครื่องอย่างหนัก ปริมาณพันธบัตรจะต้องเพิ่มขึ้นมาก มีแนวโน้มหนุนยีลด์ให้ปรับตัวสูง ส่วน BOJ ก็ต้องช่วยด้วยการชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ดูแลไม่ให้เงินเยนแข็งค่ามากเกินไป
ในฝั่งตลาดทุน แม้ทาคาอิจิอาจไม่ได้ประกาศนโยบายอย่างเฉพาะเจาะจง แต่เชื่อว่าแนวทางของเศรษฐกิจ จะกระทบตลาดทุนในสามเรื่องหลักคือ (1) ผลักดันให้มีโครงการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านการลงทุน (2) ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Quantum, Biotech และ Nuclear เปิดโอกาสให้เกิดบริษัทด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และ (3) ต่อยอดโครงการส่งเสริมสิทธิของผู้ถือหุ้นและการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อยกระดับ valuation ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี ทุกการเปลี่ยนแปลงมักมีความไม่แน่นอนตามมาเสมอ
ประเด็นแรกคือการเมือง ทาคาอิจิ ขึ้นมาในช่วงที่ พรรค LDP สูญเสียเสียงข้างมากในทั้งสองสภา จำเป็นต้องมีพรรคร่วมและการประนีประนอมมากขึ้น ในอดีตเสถียรภาพทางการเมืองมักสั่นคลอนง่ายในสถานการณ์เช่นนี้
สอง คือประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ ประธานาธิบดี Trump คาดว่าจะมาเยือนโตเกียวปลายเดือนต.ค. ด้วยนโยบายที่อนุรักษ์นิยมมาก อาจต้องระวังเรื่องความร่วมมือด้านความมั่นคง ความสัมพันธ์กับจีนอาจแย่ลง ขณะเดียวกันก็อาจถูกสหรัฐฯ กดดันทางการค้าได้อีก
สุดท้าย คือความไม่แน่นอนจากนโยบายเศรษฐกิจ เพราะต้องไม่ลืมว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศใหญ่ที่มีระดับหนี้ต่อ GDP สูงที่สุดเกินกว่า 255% การผ่อนคลายทางการคลังอาจทำให้ยีลด์และเงินเยนผันผวนหนักถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวตามที่คาด
สำหรับนักลงทุนไทย ผมมองว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับใครที่ยังไม่ได้ลงทุน
นโยบายของทาคาอิจิ ส่วนใหญ่เป็นบวกกับตลาดหุ้น โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นไทยผ่าน DR ที่น่าสนใจประกอบด้วย
NIKKEI80 ลงทุนใน NEXT FUNDS Nikkei 225 ETF (1321 JP) ประกอบด้วยหุ้นญี่ปุ่นอ้างอิงดัชนี Nikkei 225 สัดส่วนล่าสุดมีกลุ่มหลักคือ Semiconductor (17%) โทรคมนาคม (11%) ค้าปลีก (9%) อิเล็กทรอนิกส์ (6%) และเภสัชกรรม (7%) ระดับ P/E 21เท่า เป็นการลงทุนที่ตรงกับนโยบายเศรษฐกิจอย่างไม่ต้องสงสัย
JAPAN10001 ลงทุนใน Hang Seng Japan TOPIX 100 Index ETF (3410 HK) ประกอบด้วยบริษัทใหญ่ในญี่ปุ่นตามดัชนี TOPIX 100 เป็นกลุ่มธนาคาร (12%) ค้าส่ง (8%) เครื่องจักร (7%) และยานยนต์ (7%) กระจายการลงทุนในหุ้นใหญ่ระดับ P/E ไม่แพงเพียง 16เท่า
ส่วน DR หุ้นญี่ปุ่นที่ทำผลตอบแทนดีที่สุดในปีนี้คือ MITSU19 ที่ลงทุนในหุ้น Mitsubishi Heavy Industries (7011 JP) แม้จะมีระดับ P/E 49เท่า สูงกว่าตลาดพอสมควร แต่ธุรกิจอยู่ในธีมพลังงาน ความมั่นคง และโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีแนวโน้มได้รับการสนับสนุนชัดเจนสุดในยุคทาคาอิจิ
ผู้นำหญิงคนแรกของมาด้วยสโลแกน ‘Japan Is Back’ สุนทรพจน์ฉลองชัยชนะว่า “ฉันจะทำงาน ทำงาน ทำงาน” แน่นอนว่านี่คือเวลาที่ต้องจับตาเศรษฐกิจและตลาดหุ้นญี่ปุ่นอีกครั้งครับ

Screenshot
ภาพ: Yuichi Yamazaki – Pool/Getty Images, James Matsumoto/SOPA Images/LightRocket via Getty Images