ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไต้หวันได้กลายเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานโลกสำหรับไมโครชิป ซึ่งใช้ในทุกสิ่งตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงสมาร์ทโฟน ในปัจจุบันไต้หวันยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับโลกเพียงไม่กี่รายที่สามารถสร้างไมโครชิปขั้นสูงได้ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่าจุดแข็งของไต้หวันอาจกลายเป็นจุดอ่อนได้ หากจีนสามารถพัฒนาการผลิตชิปขั้นสูงของตัวเองได้ในอนาคต
ข้อมูลจาก TrendForce ชี้ให้เห็นว่า ส่วนแบ่งกำลังการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกของไต้หวันอยู่ที่ประมาณ 46% ในปี 2023 ตามมาด้วยจีน (26%), เกาหลีใต้ (12%), สหรัฐอเมริกา (6%) และญี่ปุ่น (2%) การครอบครองส่วนแบ่งการตลาดของไต้หวันส่วนใหญ่มาจากบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งมีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple และ NVIDIA อีกด้วย
ความสามารถในการผลิตชิปที่ทันสมัยนี้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เกราะป้องกันซิลิคอน’ (Silicon Shield) ที่ช่วยยับยั้งการรุกรานจากจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากจีนยังต้องพึ่งพา TSMC สำหรับผลิตภัณฑ์ขั้นสูงด้วย สิ่งนี้ทำให้นักการเมืองบางคนกังวลว่าความปลอดภัยของไต้หวันขึ้นอยู่กับการพึ่งพาไมโครชิปของโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
Paul Cavey นักเศรษฐศาสตร์จาก East Asia Econ กล่าวกับ CNBC ว่า ไต้หวันควรวางแผนกระจายเศรษฐกิจของตนออกจากเซมิคอนดักเตอร์ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่จีนอาจพัฒนาความสามารถในการผลิตชิปของตัวเองได้ในอนาคต และนักการเมืองจริงๆ ควรพูดคุยกันมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้
Cavey กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการส่งออกของไต้หวัน 40% เป็นเซมิคอนดักเตอร์ และส่งออกไปยังจีน ดังนั้น หากจีนพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์เองได้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไต้หวันจะมหาศาล ข้อมูลการค้าเบื้องต้นระบุว่าไต้หวันส่งออกชิปมูลค่ากว่า 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์ไปยังจีนในปี 2023 จากรายงานผลประกอบการไตรมาสสามปี 2023 ของ TSMC รายได้สุทธิของบริษัทประมาณ 12% มาจากประเทศจีน โดยเพิ่มขึ้นจาก 8% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่อเมริกาเหนือมีส่วนสนับสนุนรายได้สุทธิของบริษัทถึง 69%
ปัจจุบันมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ กำลังแข่งขันอย่างดุเดือดกับจีน บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศจึงทุ่มเงินลงทุนอย่างจริงจังในการพัฒนาชิป โดยลงทุนเกือบ 19% ของรายได้ไปกับการวิจัยและพัฒนา Paul You ประธาน First Securities Investment Corporation กล่าวว่า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก รวมถึงไต้หวัน อาจมีความเสี่ยงจากสงครามชิประหว่างสหรัฐฯ กับจีน และความตึงเครียดในสงครามชิปที่เพิ่มขึ้นของสองมหาอำนาจนี้จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก
อ้างอิง: