วันนี้ (27 กันยายน) เมื่อเวลา 10.15 น. ที่สโมสรตำรวจ อนันต์ชัย ไชยเดช พร้อมทีมทนายความ เดินทางมาเข้าหารือกับ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) หลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทีมทนายความ
โดยอนันต์ชัยระบุว่า เมื่อคืนนี้ได้รับการติดต่อจาก พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ โดยได้รับมอบหมายให้ดูแลใน 2 ส่วน ส่วนแรกคือดูแลกรณีที่มีบุคคลไม่หวังดีมากลั่นแกล้ง รวมไปถึงเรื่องของการค้นบ้าน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ส่วนเรื่องที่ 2 คือเรื่องของผู้ใต้บังคับบัญชาที่โดนออกหมายจับ 8 คน ซึ่งจะต้องมาดูกันว่าส่วนไหนมีข้อพิรุธ แต่ถ้าหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิดก็ว่าไปตามผิด
อนันต์ชัยกล่าวอีกว่า ตนเคยเป็นทนายความของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาก่อน ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ส่วนตัวมองว่าหนักกว่าตอนนี้อีก จึงรู้สึกไม่หนักใจ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นตนได้พูดคุยกันในทีมทนายแล้วว่าหลังจากนี้การให้สัมภาษณ์ใดๆ ก็ตามจะต้องผ่านทีมทนายความเท่านั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์ แล้วไปสู้กันในศาล
ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดเหตุการณ์นี้ต้องมาเกิดก่อนเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ ตนเชื่อว่าประชาชนหรือแม้กระทั่งเด็กอนุบาลก็น่าจะมองออกว่าปฏิบัติการค้นบ้านมีเจตนาอะไร และการออกหมายค้นก็มองว่าไม่ปกติ เพราะท่านมีตำแหน่งเป็นถึงรอง ผบ.ตร. นอกจากนี้การเอาหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (คอมมานโด) บุกไปที่บ้าน เป็นเรื่องที่ไม่สมควร
อนันต์ชัยกล่าวว่า ตนเชื่อว่าตำรวจที่ไปค้นบ้านไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าเป็นบ้านของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ดิสเครดิตอย่างแน่นอน หน้าที่ของตนคือจะต้องทำความจริงให้ปรากฏ
“ในส่วนเรื่องเก่าของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ตนเองไม่เกี่ยว แต่เรื่องนี้ท่านถูกรังแก จึงต้องทำความจริงให้ปรากฏ ถ้าอึมครึมอยู่แบบนี้ ชื่อเสียงเกียรติยศจะป่นปี้หมด และในฐานะที่เป็นทนายความ ถือเป็นเหรียญสองด้านทั้งโจทก์และจำเลย หน้าที่ของทนายความคือทำความจริงให้ปรากฏต่อศาลและต่อสาธารณชน” อนันต์ชัยกล่าว
ส่วนเรื่องที่มีภาพ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ปรากฏร่วมกับ มินนี่ เจ้าของเว็บพนันออนไลน์ แล้วถูกนำมาโยงกันนั้น อนันต์ชัยกล่าวว่า การเป็นบุคคลสาธารณะ เวลาจะเดินทางไปที่ไหนย่อมมีคนมาขอถ่ายรูปเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งคนที่มาขอถ่ายรูปหรือร่วมเฟรมภาพ อาจจะมีทั้งคนดีรวมไปถึงคนที่ทำผิดกฎหมายปะปนกันไป ดังนั้นการที่ถ่ายรูปกับคนที่กระทำผิดกฎหมายก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะมีความผิดไปด้วย
“การที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ไปร้องเพลง ไปถ่ายรูป รวมถึงที่มีดาราไปถ่ายรูป แล้วจะชั่วไปด้วยมันไม่ใช่ อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะคดีอาญาให้ดูที่เจตนาว่ากระทำความผิดจริงหรือไม่ตามมาตรา 59 ไม่ใช่ดูที่การถ่ายรูป” อนันต์ชัยกล่าว
นอกจากนี้ขออย่าเอาเรื่องของลูกน้องที่กระทำผิดมารวมกับผู้บังคับบัญชา เพราะการที่ลูกน้องทำผิดไม่ได้หมายความว่าผู้บังคับบัญชาจะทำผิดด้วย เพราะเรื่องเส้นทางการเงินทั้งหมดนั้นตนเองทราบหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม และเรื่องนี้ตนเองจะไม่ให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ พูดอีกแล้ว ทนายความจะเป็นผู้พูดแทน
อนันต์ชัยกล่าวย้ำว่า “ไม่ต้องกลัว งานนี้ผมเอาอยู่” และจะขอเปลี่ยนฉายาให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ใหม่ จากโจ๊กหวานเจี๊ยบเป็นโจ๊กอัคนี สื่อถึงเปลวเพลิงที่เผาทุกสิ่งทุกอย่างและมีความแข็งแกร่ง
อนันต์ชัยกล่าวในตอนท้ายว่า เงินที่บอกว่าโอนมากับเงินที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ใช้จ่ายไปไม่สมเหตุสมผลกัน ค่ารักษาพยาบาลแม่ ค่าโทรศัพท์ ระดับรอง ผบ.ตร. จะมาตายน้ำตื้นกับเรื่องแค่นี้เหรอ คิดว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่ ลูกน้องชั่วท่านจะชั่วด้วยเหรอ บางทีเรื่องส่วนตัวลูกน้องเขาก็ไม่ได้มาบอกลูกพี่ บางทีคนใกล้ชิดเป็นก็ไม่ใช่ว่าลูกพี่จะเป็นด้วย