วานนี้ (14 มกราคม) สุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เบอร์ 3 เขตเลือกตั้งที่ 9 หลักสี่-จตุจักร พรรคเพื่อไทย ปราศรัยใหญ่บริเวณชุมชนเสนานิคม 2 บนเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งที่ 1 ท่ามกลางพี่น้องประชาชนและผู้สนับสนุนที่มาร่วมฟังปราศรัยจำนวนมาก
สุรชาติกล่าวว่า การเป็น ส.ส. คือความฝัน และพี่น้องเคยทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงมาแล้ว แต่ระยะเวลาขณะนั้นพียงแค่ 2 ปีกว่าๆ ถือว่าสั้นเกินไปที่จะใช้ตำแหน่งหน้าที่ทำประโยชน์ให้พี่น้องประชาชน เพราะหลังจากนั้นได้เกิดการรัฐประหารขึ้น แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 7-8 ปีที่ผ่านมาได้ใช้เวลาในการหาความหมายที่แท้จริงของผู้แทนราษฎร
ในชีวิตทางการเมืองของตนอาจล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ แต่ได้บอกกับตัวเองว่าเพราะยังเข้าถึงประชาชนไม่พอ และในครั้งที่ชนะก็จะบอกกับตัวเองเสมอว่าเราต้องยิ่งพยายามมากขึ้นไปอีก ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา จึงบอกกับตัวเองเสมอว่าจะต้องพยายามอย่างที่สุด แล้วถ้าพยายามแล้วแต่ยังไม่ได้รับความรัก ก็จะมีข้ออ้างกับตัวเองอีกว่าเรายังทำได้ดีกว่านี้ เรายังเข้าไม่ถึงประชาชนมากพอ ดังนั้นจึงต้องพยายามอีก
“17 ปีของการทำงานการเมือง ผมทุ่มเทเพื่อพิสูจน์สิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด ผู้แทนราษฎรของประชาชน” สุรชาติกล่าว
สุรชาติกล่าวอีกว่า สำหรับตน ส.ส. หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ในส่วนของคำว่า ‘สมาชิกสภา’ อาจจะเป็นเพียงเรื่องของตำแหน่งทางการเมือง แต่ที่สำคัญคือ ‘ผู้แทนราษฎร’ ซึ่งหมายถึงจิตวิญญาณ ที่จะต้องมีหัวใจที่เป็นผู้แทนราษฎร ที่เป็นตัวแทนของประชาชนจริงๆ
การเมืองของตนไม่ซับซ้อน ตนมีความเชื่อทางการเมืองง่ายๆ สั้นๆ คือตนเชื่อว่าถ้าเราไม่ทิ้งประชาชน ประชาชนก็จะไม่ทิ้งเรา และตนยึดถือแบบนั้นมาตลอด ในวันที่ตนได้เป็น ส.ส. ตนเคยสัญญาเอาไว้ว่า “พี่ป้าน้าอาครับ ถ้าผมได้รับโอกาสจากพี่ป้าน้าอา ไม่ว่าวันหน้าหรือวันไหน ถึงผมจะมีตำแหน่งหรือไม่ ผมจะอยู่รับใช้พี่ป้าน้าอาตลอดไป มันอาจเป็นเหมือนคำพูดคำหนึ่งของนักการเมืองที่ไม่น่าเชื่อถืออะไร แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ คำเล็กๆ นั้นทำให้ผมต้องออกจากบ้านทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤตหรือไม่ หรือจะมีตำแหน่งหรือไม่ หรือแม้แต่จะอยู่ในช่วงที่เกิดการรัฐประหาร หรือในช่วงที่ผมแพ้เลือกตั้ง ผมใช้คำสัญญาเหล่านั้นเป็นกำลังใจให้ออกไปหาพี่ป้าน้าอาทุกวัน”
สุรชาติกล่าวอีกว่า การเมืองของตนง่ายและไม่ซับซ้อน คือเริ่มต้นด้วยการให้เกียรติประชาชน และไม่มีเงื่อนไขกับประชาชน เป็นการรับใช้พี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะพี่น้องประชาชนจะใส่เสื้อสีอะไร อุดมการณ์ทางการเมืองแบบใด ตนจะออกไปทำให้เขารู้ว่า ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกตน หรืออาจจะไม่มีวันเลือกตนเลย ถ้าตนมีโอกาสตนจะทำให้ประชาชนอย่างเต็มที่ และนี่คือตัวตนของเขา
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดวันนี้เป็นสิ่งที่ยึดถือมาตลอด คือการเมืองที่พูดน้อยๆ แต่ทำเยอะๆ เพื่อเป็นผู้แทนราษฎรของพี่น้องประชาชน ซึ่งได้ใช้เวลา 17 ปีพิสูจน์ด้วยการกระทำมาโดยตลอด” สุรชาติกล่าว
สุรชาติเล่าย้อนไปเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ต้องการเป็นนักการเมือง และเดินอยู่ในบริเวณชุมชนเสนานิคม 2 แห่งนี้ เริ่มตั้งแต่ปี 2548 และใช้เวลาเดินอยู่ 2 ปี ในการเลือกตั้งปี 2550 ได้คะแนนในการเลือกตั้งมาประมาณ 9,000 คะแนน โดยผู้ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนนับแสนคะแนน แต่ก็ไม่เคยละทิ้งความพยายาม และได้บอกกับพี่น้องประชาชนเอาไว้ว่าในปี 2550 ตนอาจไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯ แต่สักวันหนึ่งตนจะได้รับการเลือกตั้งแน่นอน
“ในชีวิตการเมืองของผม ผิดหวังมากกว่าสมหวัง แต่ผมเก็บเกี่ยวทุกอย่างมาค้นหาความหมายของผู้แทนราษฎรที่แท้จริง และวันนี้ผมไม่อยากผิดหวังแล้ว ผมบอกกับตัวเองเสมอว่าครั้งนี้ต้องชนะให้ได้ แต่จะไม่ใช่การชนะเพื่อตัวเอง แต่ต้องชนะเพื่อศักดิ์ศรีชาวจตุจักร” สุรชาติกล่าว
สุรชาติกล่าวด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญที่สุดในชีวิตของตน ไม่ใช่แค่ชนะแล้วใส่สูทไปสภา แต่จะเป็นการพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำมาตลอดชีวิตว่า คนเดินดินที่อยู่กับพี่น้องประชาชน และเก็บเกี่ยวทุกปัญหามาตลอด จะไปเปลี่ยนแปลงทำให้คุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนดีขึ้นได้
“ความฝันทางการมืองของผมคือ การได้เป็น ส.ส. ซึ่งก็เคยได้เป็นแล้ว แต่ฝันอีกคืออยากเห็นคนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เพราะเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศคือคนไทยทุกคน เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศคือ การที่จะต้องทำให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เรื่องนี้ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ดังนั้น จึงเชื่อว่าอุดมการณ์ของผมบวกกับศักยภาพและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย พวกเราจะสามารถทำได้ และพรรคเพื่อไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง ทั้งการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ที่สุด หรือการผลักดันโครงการบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่ง 20 ปีที่ผ่านมา ประชาชนทุกคนได้ประโยชน์จากโครงการนี้ และได้ช่วยเหลือชีวิตคนไว้จำนวนมาก” สุรชาติกล่าว
สุรชาติย้ำด้วยว่า ตนมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น และการลงพื้นที่ทุกวันทำให้เข้าใจความเจ็บปวดของประชาชนจากระบบราชการที่ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เคยรับใช้แล้วยังทำตัวเป็นเจ้านายประชาชนตลอดเวลา แม้ส่วนตัวจะเชื่อว่าพี่น้องข้าราชการส่วนใหญ่ของประเทศมีความตั้งใจดูแลประชาชน แต่ระบบราชการที่ไม่เอื้อทำให้ข้าราชการจำนวนมากไม่สามารถทำตามความตั้งใจได้ หากพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เชื่อว่าจะมีการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เป็นระบบราชการที่รับใช้ประชาชนเหมือนที่ผมรับใช้พี่น้องประชาชนมาตลอด
“เราเจ็บปวดจากการบริหารงานในช่วงการระบาดของโควิด ทั้งเรื่องวัคซีน หรือแม้กระทั่งหน้ากากอนามัย พวกเราฝ่ายการเมืองลงพื้นที่ออกไปเสี่ยงตายเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนตลอด ผมก็มีแค่ตัวกับทีมงานไม่กี่ชีวิต แม้จะไม่กล้าบอกว่าได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แต่ขอให้เชื่อว่าผมได้ทุ่มเททุกอย่างในชีวิต หากผมได้กลับเข้าสภา จะทุ่มเททำงานให้พี่น้องประชาชน และเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องในสภา ส่วนงานในพื้นที่ก็จะรับใช้พี่ป้าน้าอาเหมือนเดิมทุกประการ” สุรชาติกล่าว
สุรชาติได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ประเทศไทยไม่เคยขาดคนเก่ง คนเก่งและคนมีความรู้มีอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ประเทศนี้ขาดมาตลอด คือคนที่คิดเป็น และทำงานให้พี่น้องประชาชนตลอดชีวิต ผมขอเป็นคนคนนั้นครับ”
ภาพ: พรรคเพื่อไทย