×

Maroon 5 กับการแสดง Super Bowl Halftime Show ที่จบไม่สวยอย่างที่คิด

04.02.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • เวที Super Bowl Halftime Show ถือได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับศิลปินกระแสหลัก ซึ่งมีมูลค่าทางการตลาดเกินเวที Grammy Awards เป็นสิบๆ เท่า เพราะถ้าคุณได้รับเลือกให้ไปแสดง ก็แปลว่าคุณได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมดนตรี
  • ริฮานนาปฏิเสธที่จะโชว์ในงานนี้ เพราะต้องการสร้างจุดยืนและสนับสนุน โคลิน เคเปอร์นิก นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลผิวสีที่ถูก NFL แบนในปี 2016 โทษฐานคุกเข่าระหว่างเพลงชาติอเมริกาจากปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมต่อคนผิวสีในสังคม
  • โชคไม่ดีว่าปีนี้งานจัดที่เมืองแอตแลนตา ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่บ่มเพาะเพลงฮิปฮอปของคนผิวสีให้เป็นที่รู้จัก ขณะที่ทาง NFL กลับเลือก Maroon 5 ศิลปินป๊อปกระแสหลัก ซึ่งสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงตั้งแต่ข่าวเล็ดลอดออกมา
  • ไม่กี่ชั่วโมงก่อนการแสดง ทาง Maroon 5 ได้ออกมาประกาศว่าจะบริจาคเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐร่วมกับ NFL และค่ายเพลง Interscope Records ให้องค์กรการกุศล Big Brothers Big Sisters เพื่อช่วยเหลือเยาวชน

“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” เป็นวลีที่เราน่าจะคุ้นเคยกันดี ซึ่งหากนำมาปรับใช้กับการแสดงช่วงพักครึ่งของวง Maroon 5 ในงาน Super Bowl ที่เพิ่งจบไป ผมกลับคิดว่าพวกเขาทำในสิ่งตรงข้าม และได้สร้างสรรค์โชว์ที่พูดๆ ง่ายว่า ‘ลืมมันไปเถอะ’ เพราะเชื่อได้ว่าหากต่อไปมีการจัดอันดับการแสดงของ Super Bowl Halftime Show ในประวัติศาสตร์ พวกเขาน่าจะอยู่อันดับท้ายๆ และตอนนี้ในฟีดของโลกโซเชียลก็เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์, วิดีโอการแสดงในช่องยูทูบของ NFL มีดิสไลก์มากกว่าไลก์หลายเท่า, และ GIF ที่น่าจะเหมาะสมคือภาพของ แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช จากละคร เลือดข้นคนจาง เมื่อปีที่แล้วที่คงไม่ต้องบอกว่าเป็นภาพไหน

 

 

ต้องพูดตรงนี้ก่อนว่าผมเองเป็นแฟนเพลงของ Maroon 5 ตั้งแต่อัลบั้มแรก Songs About Jane ในปี 2002 ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และพูดเสมอว่าวงนี้ที่ประกอบไปด้วย อดัม เลวีน, เจสซี คาร์ไมเคิล, มิกกี้ แมดเดน, เจมส์ วาเลนไทน์, แมตต์ ฟลินน์ และพีเจ มอร์ตัน ได้สร้างสรรค์บทเพลงป๊อป Top 40 ที่สนุก ติดหู และร้องตามกันได้เสมอ (สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองคูลเกิน อัลเทอร์เนทีฟเกิน หรือฮิปสเตอร์เกิน ผมก็เชื่อว่าคุณน่าจะร้องเพลงของพวกเขาได้สักเพลง) ซึ่งหากถามว่าแปลกใจไหมที่ทาง NFL เลือกให้พวกเขามาแสดง Super Bowl ในปีนี้ก็ต้องบอกว่าไม่ เพราะพวกเขาคือตัวเลือกที่ดู ‘ปลอดภัย’ สำหรับการแสดงที่ถูกมาร์เก็ตติ้งให้เป็น ‘Family Show’ สำหรับมหาชน แต่ถ้าจะถามว่าพวกเขาดูพร้อมที่จะได้เล่นที่งานระดับนี้ไหม ผมก็ต้องตอบว่าไม่เหมือนกัน

 

แล้วปัญหาคืออะไร?

 

เวที Super Bowl Halftime Show ถือได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับศิลปินกระแสหลัก ซึ่งมีมูลค่าทางการตลาดเกินเวที Grammy Awards เป็นสิบๆ เท่า เพราะถ้าคุณได้รับเลือกให้ไปแสดง ก็แปลว่าคุณได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมดนตรี และจำนวนคนดูกว่าพันล้านคนทั่วโลกก็เป็นเหมือนสปริงบอร์ดที่จะส่งให้ชื่อเสียงก้าวกระโดดสู่สมรภูมิระดับตำนาน ซึ่งศิลปินคนใดที่ถูกทาบทามให้ไปเล่นก็ต้องคว้าโอกาสไว้ทันที เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าจะมีโอกาสอีกไหม

 

แต่มาในปีนี้ บริบทของสังคมและอิทธิพลของ NFL ได้ถูกท้าทายโดยผู้หญิงที่ชื่อ ริฮานนา หลังมีรายงานว่าเธอปฏิเสธที่จะโชว์ในงานนี้ แม้จะเป็นตัวเลือกแรกของ NFL เพราะเธอต้องการสร้างจุดยืนและสนับสนุน โคลิน เคเปอร์นิก นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลผิวสีที่ถูก NFL แบนในปี 2016 โทษฐานคุกเข่าระหว่างเพลงชาติอเมริกาจากปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมต่อคนผิวสีในสังคม

 

 

ทาง NFLจึงเลือกใช้แผนสอง โดยติดต่อวง Maroon 5 (ที่เคยร้องเพลง If I Never See Your Face Again กับริฮานนามาแล้ว) ซึ่งทางวงก็ตอบตกลง แต่โชคไม่ดีว่าปีนี้งานจัดที่เมืองแอตแลนตา ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่บ่มเพาะเพลงฮิปฮอปของคนผิวสีให้เป็นที่รู้จัก ขณะที่ทาง NFL กลับเลือกศิลปินป๊อปกระแสหลัก ซึ่งสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงตั้งแต่ข่าวเล็ดลอดออกมาก่อนที่ทางวงจะคอนเฟิร์มด้วยซ้ำ ซึ่งถามว่าเป็นความผิดของ Maroon 5 หรือเปล่า ส่วนตัวผมคิดว่าไม่เลย เพราะพวกเขาก็ต้องรีบคว้าโอกาสทองในครั้งนี้ ดังนั้นความผิดเบื้องต้นก็อยู่ที่ NFL เองที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบว่าจะให้ใครมาแสดงต่อจากริฮานนา

 

แต่อย่างไรก็ตาม 4 เดือนต่อมาทาง Maroon 5 ก็ออกมาคอนเฟิร์มอย่างเป็นทางการว่าจะขึ้นแสดงช่วง Super Bowl Halftime Show พร้อมแรปเปอร์ ทราวิส สก็อตต์ และบิ๊กบอย ที่มาเป็นแขกรับเชิญ โดยมีรายงานว่าทราวิสได้ยื่นเงื่อนไขเพื่อตอบรับร่วมแสดง โดยขอให้ทาง NFL บริจาคเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐให้กับ Dream Corps หน่วยงานที่ก่อตั้งโดย ฟาน โจนส์ องค์กรช่วยเหลือปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือว่า เจย์-ซี และศิลปินผิวสีอีกหลายคนพยายามขอให้เขาถอนตัว

 

ล่าสุดไม่กี่ชั่วโมงก่อนการแสดง ทาง Maroon 5 ได้ออกมาประกาศว่าจะบริจาคเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐร่วมกับ NFL และค่ายเพลง Interscope Records ให้องค์กรการกุศล Big Brothers Big Sisters เพื่อช่วยเหลือเยาวชน ซึ่งก็น่ายกย่องในระดับหนึ่ง และเป็นการช่วยเยียวยาปัญหาที่คาราคาซังมาตลอด

 

 

ตัดภาพข้ามมาที่การแสดงในวันนี้เลยแล้วกัน

 

เฟรมแรกของการแสดงก็ดูมีความหวังกับเวทีรูปตัว M และวงก็ฉลาดเลือกเปิดโชว์ด้วยซิงเกิลแรกในชีวิต Harder To Breathe ซึ่งสำหรับผมยังคงเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขา ทั้งยังเต็มไปด้วยความหนักแน่นและการแสดงชั้นเชิงทางซาวด์ดนตรี แต่พลังของอดัมกลับดูไม่สุด และสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะพยุงความตื่นตาตื่นใจต่อไปก็คือเหล่าเอฟเฟกต์พลุต่างๆ รวมถึงการใช้โดรน 150 ตัวของ Intel ในช่วงเพลง She Will Be Loved ที่สะกดคำว่า ‘Love’ กับ ‘One’ ซึ่งก็มีความคล้ายโชว์ในวันเปิดห้าง ICONSIAM ผสมผสานกับโชว์พักครึ่งของ เลดี้ กาก้า ในปี 2017 ที่ก็ใช้โดรนของ Intel ช่วงเปิดโชว์เหมือนกัน ซึ่งในปี 2013 อดัมก็เคยมีกรณีกับเลดี้ กาก้า มาก่อน ทั้งยังบอกว่าเขาไม่สนับสนุนศิลปินที่นำผลงานของคนอื่นมารีไซเคิลแล้วเรียกมันว่าเป็นศิลปะของตัวเอง

 

สำหรับพาร์ตของโชว์ที่มีทราวิสมาร้องเพลงฮิต Sicko Mode ส่วนบิ๊กบอยมาร้องเพลง The Way You Move ก็ดูสะเปะสะปะและดูเหมือนซ้อมมาแค่คืนเดียว ส่วนอดัมก็มาพร้อมท่าเต้นฮิปฮอปที่ไม่เขากับบริบทของโชว์เลย ซึ่งในประวัติศาสตร์ของ Super Bowl Halftime Show ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้เห็นศิลปินต่างแนวเพลงมารวมตัวกันเพื่อสร้างโมเมนต์ที่ต้องจารึก เช่น ตอนที่ เคที เพอร์รี ชวนหนึ่งในไอดอลของเธออย่าง มิสซี เอลเลียต มาแจม, บรูโน มาร์ส กับ Red Hot Chili Peppers หรือตอน Coldplay แชร์เวทีกับบียอนเซ่และบรูโน มาร์ส ในปี 2016 ที่โชว์ถูกร้อยเรียงให้สะท้อนถึงการรวมตัวเพื่อความเป็นหนึ่ง โดยเฉพาะในเพลง Up&Up ช่วงท้ายของการแสดง

 

 

ตัดภาพกลับมาที่ Super Bowl Halftime Show ของ Maroon 5 เขาเลือกปิดท้ายโชว์ด้วยเพลงฮิต Moves Like Jagger ที่อดัมถอดเสื้อกล้ามเปลือยหุ่นท่อนบน ที่เชื่อว่าจะสร้างจินตนาการ สร้างความฟิน สร้างความอิจฉาต่อเบฮาติ พรินส์ลู หรือสำหรับผมคือรู้สึกว่าต้องสั่งอาหารคลีนและไปออกกำลังกายอีกอย่างน้อย 15 ปี แต่ปัญหาจริงๆ คือ “อดัมทำไปทำไม?”

 

การจบโชว์ Super Bowl ของเขาไม่ควรเป็นการสวมรอย มิก แจ็กเกอร์ นักร้องนำวง The Rolling Stones แต่ควรสร้างภาพลักษณ์และภาพจำที่ชัดเจนว่าเขาเป็นนักร้องนำของวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในสหัสวรรษนี้ และถ้ายังจำกันได้ การเลือกถอดเสื้อบนเวทีเมื่อ 15 ปีก่อนของ เจเน็ต แจ็คสัน ที่เธอพลาดเผยหน้าอกข้างหนึ่งตอนแสดงกับ จัสติน ทิมเบอร์เลก ทำให้เธอโดน NFL แบนและถูกสังคมประณาม ซึ่งก็แน่นอนว่าการถอดเสื้อจบโชว์ของอดัมจะจุดประเด็นความไม่เท่าเทียมและเหลื่อมล้ำในสังคมที่เพศหญิงต้องเผชิญ ยิ่งในยุคสมัยนี้ที่เรื่องราวพลังหญิงกำลังมาแรงในอเมริกาและทั้งโลก การที่อดัมทำเช่นนี้อาจเป็นการวางหมากที่ผิดพลาดอย่างไม่น่าเกิดขึ้น

 

คำถามต่อมาคือศิลปินทุกคนจำเป็นต้องสร้างจุดยืนเรื่องปัญหาสังคมไหม หรือหน้าที่ของเขาคือเป็นแค่คนสร้างความบันเทิงในช่วงเวลา 14 นาทีที่ทาง NFL ให้แสดง?

 

ผมมองว่าการจะให้ Maroon 5 รังสรรค์โชว์ที่จะพูดถึงประเด็นต่างๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง แถมอเมริกาก็มีคนหลายฝ่าย รวมถึงแฟนคลับอันเหนียวแน่นของวงที่ต้องการฟังเพลงฮิต ซึ่งก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่หากคุณจะไม่แทรกหรือแตะประเด็นสักอย่างเหมือนไม่ลืมหูลืมตาก็ดูตลก ยิ่งสภาพของสังคมอเมริกาช่วงนี้ อย่างน้อยการสร้างซีเควนซ์ของโชว์ที่มีความสมานฉันท์และรวมพลังของคนก็ยังดี อย่างเช่นตอน U2 แสดงเมื่อปี 2002 หรือ 5 เดือนหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายนที่นิวยอร์ก ก็มีหลายฝ่ายที่ออกมาบอกว่าวงไม่ควรแสดง เพราะสภาพจิตใจคนยังไม่พร้อม และจะมีวงจากไอร์แลนด์มาเล่นก็ดูไม่ใช่ แต่ทาง NFL ก็ยังให้พวกเขาเล่น และผลลัพธ์คือมันกลายเป็นหนึ่งในการแสดง Super Bowl Halftime Show ที่ดีสุดก็ว่าได้ พร้อมกับมีรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์วินาศกรรมในครั้งนั้นขึ้นจอทั้งหมดในช่วงเพลง MLK และ Where The Streets Have No Name

 

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม คนเราก็ผิดพลาดได้เสมอ และศิลปินก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเราที่ไม่สามารถทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของทุกคนบนโลกนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าเมื่อผ่านไปอีก 3 วันทุกคนก็จะเดินหน้าต่อไป และ Maroon 5 ก็แค่ต้องสร้างเพลงใหม่ๆ ในรูปแบบที่เขาถนัด ซึ่งเราเชื่อว่าจะฮิตทั่วโลกเช่นเคย เพราะสิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากโชว์ Super Bowl ได้อย่างดีก็คือพวกเขาเป็นเทพในด้านนี้มากกว่า

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X