ในทุกวงการย่อมมีนัดชิงชนะเลิศที่เป็นการตัดสินของยุคสมัย คลื่นลูกเก่าที่เคยสร้างสถิติและประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานย่อมพบเจอกับความท้าทายจากคลื่นลูกใหม่เมื่อเวลาเดินไปข้างหน้า
และเป็นอีกครั้งที่การแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ศึกชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอล จะถูกใช้เป็นรายการตัดสินผู้ชนะแห่งยุคสมัย เมื่อ นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ ก้าวเข้ามาสู่รอบชิงฯ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ต้องมาพบเจอกับ ลอสแอนเจลิส แรมส์ ทีมที่ครบเครื่องและเป็นเต็งแชมป์ในช่วงต้นฤดูกาลปกติที่ผ่านมา
ก่อนที่ทุกสายตาจะจับจ้องไปที่สนาม Mercedes-Benz Stadium นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ ตามเวลาประเทศไทย เราลองไปสำรวจเส้นทางและความพร้อมของทั้งสองผู้เข้าชิงในปีนี้กัน
ทอม เบรดี ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของนิวอิงแลนด์
“เบรดีชนะเกมนี้ได้เพราะเขามีทั้งสองอย่าง ความยิ่งใหญ่และความเป็นผู้นำ ถ้าเขามีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เขาอาจจะไม่สามารถชนะเกมเมื่อวานได้ เขาชนะเพราะเขามีทั้งสองอย่าง”
สตีเฟน เอ. สมิธ ผู้สื่อข่าวดังจากสถานีโทรทัศน์ ESPN กล่าวยอมรับในความยิ่งใหญ่ของ ทอม เบรดี ผ่านรายการ First Take หลังเกมที่นิวอิงแลนด์เอาชนะแคนซัสซิตี้ ชีฟส์ อย่างยากลำบากในช่วงต่อเวลาพิเศษ ในรอบชิงแชมป์สาย AFC
นอกเหนือจากความเป็นผู้นำที่ดี และการเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่แล้ว ทอม เบรดี คือนักกีฬาที่หลายคนยกย่องว่าสามารถพาทีมรอดจากสถานการณ์ที่เรียกว่า Clutch (ความสามารถในการทำผลงานในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเกมการแข่งขันเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ)
หากใครจำซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 52 ได้ ในวันที่ Underdog ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ พลิกเอาชนะนิวอิงแลนด์ และคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่แล้วไปครอง
ด้วยความเจ็บปวด ทอม เบรดี จึงหายไปจากสื่อเป็นเวลาหลายวัน ก่อนจะออกมาโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า
“หลังจากได้ทบทวนความพ่ายแพ้ในซูเปอร์โบวล์และฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมหลายวันที่ผ่านมา มันมีหลายความรู้สึก โดยเฉพาะเมื่อคุณทำไม่ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมันคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และเติบโตขึ้นในการผจญภัยที่เราเรียกว่าชีวิต”
และเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี เบรดีก็สามารถพาทีมกลับเข้าสู่รอบชิงแชมป์สายได้สำเร็จ โดยในเกมรอบชิงแชมป์สาย AFC ก่อนลงสนาม นิวอิงแลนด์ถูกมองว่าเป็นรองด้วยซ้ำ จนกระทั่งเกมนัดชิงหลายครั้งที่เขาเองผิดพลาด ท่ามกลางความแข็งแกร่งของทีมรุกแคนซัสซิตี้ ชีฟส์ ทำให้เกมนี้ต้องถูกตัดสินใจช่วงต่อเวลาพิเศษจากสกอร์ที่เสมอกัน 31-31 แต่สุดท้ายก็เป็นเบรดีที่เปลี่ยนดาวน์สามระยะ 9-10 หลาได้สำเร็จ 3 ครั้งซ้อน จนนำไปสู่ทัชดาวน์คว้าชัยตีตั๋วเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน
ในแง่การบริหารทีมต้องยอมรับว่า หากไม่มี บิล เบลิชิก ย่อมไม่มีเบรดีที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ กลับกัน หากไม่มีทอม เบรดี บิล เบลิชิกก็คงไม่สามารถพาทีมเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้ต่อเนื่องขนาดนี้เช่นกัน
เมื่อถึงเวลาสำคัญ เบรดีคือคำตอบสำหรับแฟนๆ นิวอิงแลนด์ รวมถึงเพื่อนร่วมทีมในสนามที่มักจะมองหาเขาในเวลาที่ยากลำบากที่สุด แต่มาถึงครั้งนี้ เบรดีที่เอาชนะบททดสอบของกาลเวลามาได้ในวัย 41 ปี เขาต้องพบเจอกับบททดสอบของยุคสมัย เมื่ออีกฝั่งของสนามคือหนึ่งในทีมนักกีฬารุ่นใหม่ที่ครบเครื่องที่สุดใน NFL ปีนี้
แรมส์ กับความครบเครื่องที่พร้อมท้าทายผู้ยิ่งใหญ่
ในขณะที่ ทอม เบรดี ก้าวเข้าชิงซูเปอร์โบวล์เป็นสมัยที่ 9 ในวัย 41 ปี ฌอน แม็คเวย์ โค้ชหนุ่มพรสวรรค์สูงของลอสแอนเจลิส แรมส์ เพิ่งมีอายุเพียง 33 ปีเท่านั้น ซึ่งนับเป็นโค้ชที่อายุน้อยที่สุดที่เข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้
เช่นเดียวกับ จาเร็ด กอฟฟ์ ควอเตอร์แบ็กของแรมส์ที่มีอายุเพียง 24 ปี ซึ่งน้อยกว่าทอม เบรดี ถึง 17 ปี และนักกีฬาบางส่วนของแรมส์ มีเพียง แบรนดอน คุก, อาคิบ ทาลิบ และ ซี.เจ. แอนเดอร์สัน เท่านั้นที่เคยเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ ขณะที่ในเกมรับยังมี โค้ชเวด ฟิลลิปส์ ที่เคยช่วยเดนเวอร์ บรองโกส์คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 50 มาช่วยคุมทีม
ส่วนทีมบุกของแรมส์ก็สามารถทำเกมรุกได้ครบเครื่องมากที่สุดในลีกทีมหนึ่ง ด้วยอาวุธครบมือที่มีไว้ต่อกรกับเกมรับหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ ซี.เจ. แอนเดอร์สัน และ ท็อดด์ เกอร์ลีย์ ที่สามารถวิ่งสลับสร้างแรงกดดันเหมือนนักชกที่ออกหมัด 1-2 สลับเพื่อทำลายจังหวะการ์ดของคู่ชก ส่วน โรเบิร์ต วูด สามารถรับบอลในระยะกลางได้อย่างดีเยี่ยม ขณะที่ระยะยาว แบรนดอน คุก ก็เป็นอีกหนึ่งทีเด็ดที่สร้างโอกาส โดยเขาทำไปแล้ว 5 ทัชดาวน์ในปี 2018
จุดเด่นทีมรับของแรมส์อยู่ที่ ‘ทีมไล่ล่าควอร์เตอร์แบ็ก’ แอรอน โดนัลด์ ตัวแซ็คสูงสุดของลีก ที่สามารถทะลุแนวบุกของคู่แข่ง และทำไปแล้ว 20.5 แซ็ค สูงที่สุดในลีกปีนี้
แต่หากทีมไล่ล่าควอร์เตอร์แบ็กทะลุแนวตรงกลางเข้าหาเบรดีได้อย่างรวดเร็ว เวลา 2.28 วินาทีก็อาจจะไม่เพียงพอ ซึ่งจุดนี้อาจเป็นตัวชี้วัดผลการแข่งขันในเกมนี้ได้เลย
จากการสำรวจฟอร์มของทั้งสองทีมพบว่า เกมนี้เป็นอีกครั้งที่ทีมมากประสบการณ์และความเก๋าต้องมาพบเจอกับทีมที่ครบเครื่องและเต็มไปด้วยความสดใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายที่สั่งสมประสบการณ์มากกว่ามักเป็นฝ่ายคว้าชัย โดยเฉพาะ ทอม เบรดี ที่หลายคนยกย่องว่าความสามารถที่แท้จริงของเขาไม่ได้มาจากร่างกายที่แข็งแกร่งหรือว่องไว แต่ยังมีมันสมองและประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่เขาลงสนาม และด้วยประสบการณ์เข้าชิงมาทั้งหมด 9 ครั้ง ก็คงยากที่จะหาใครเทียบเคียงได้ในเวลานี้
แต่สิ่งที่แรมส์พกมาในครั้งนี้คือ ยุคสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ซึ่งคาดเดาได้ยาก โดยเฉพาะ ฌอน แม็คเวย์ โค้ชหนุ่มพรสวรรค์สูงที่มีความกล้าได้กล้าเสีย จนบางคนเปรียบเทียบเขากับ ดัก ปีเตอร์สัน เฮดโค้ชของฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ที่เอาชนะนิวอิงแลนด์ไปในซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 52
ผู้ชนะในเกมนี้จะกลายเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญแห่งยุคสมัยของนิวอิงแลนด์ ภายใต้เงาของ ทอม เบรดี และ บิล เบลิชิก เพราะครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองทีมเจอกันในซูเปอร์โบวล์คือปี 2002 หรือประมาณ 17 ปีก่อน
ซึ่งซูเปอร์โบวล์ครั้งนั้น แรมส์คือทีมที่ถูกยกย่องให้เป็น The Greatest Show on Turf จากเกมบุกที่ดุเดือด สนุก และสวยงามที่สุดทีมหนึ่งในลีกในปีนั้น ขณะที่นิวอิงแลนด์ในปีนั้น ทอม เบรดี เพิ่งก้าวขึ้นเป็นควอเตอร์แบ็กตัวจริงได้ เนื่องจากควอเตอร์แบ็กตัวหลักเจ็บ แต่หลังจากที่นิวอิงแลนด์คว้าแชมป์ในปีนั้น แรมส์ก็หายไปจากซูเปอร์โบวล์ ตรงข้ามกับเบรดีที่ประสบความสำเร็จ สามารถคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 5 สมัย และเข้าชิงแชมป์ครั้งนี้ได้เป็นสมัยที่ 9
ขณะที่ฝั่งแรมส์เมื่อเวลาผ่านไป 17 ปี พวกเขาก็มาพร้อมกับทีมรุ่นใหม่ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า จาเร็ด กอฟฟ์ ควอเตอร์แบ็กวัย 24 ปี กับ ณอน แม็คเวย์ เฮดโค้ชวัย 33 ปี อาจเป็นผู้ที่พาทีมแรมส์กลับมายุติตำนานนิวอิงแลนด์ของทอม เบรดี-บิล เบลิชิกในครั้งนี้
ภาพ: Reuters
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- www.youtube.com/watch?v=VguE-KPNqIE&ab_channel=NFL
- www.cbssports.com/nfl/news/2019-super-bowl-odds-line-rams-vs-patriots-picks-best-predictions-from-expert-whos-20-6-on-l-a-games/
- www.nfl.com/news/story/0ap3000001013712/article/tom-brady-on-chance-of-retiring-after-sb-liii-zero
- www.usatoday.com/story/sports/nfl/super-bowl/2019/01/20/super-bowl-2019-preview-new-england-patriots-los-angeles-rams/2635325002/