จากกรณีที่คณะกรรมาธิการการป้องกันการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้ตรวจสอบ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มีเหตุอันควรสงสัยว่าทุจริตต่อหน้าที่และร่ำรวยผิดปกตินั้น
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์) สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์รายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand โดยระบุว่า เรื่องทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น 300 ล้านบาทนั้น เนื่องจากตนเองเพิ่งแต่งงาน ดังนั้นการยื่นทรัพย์สินจึงมีการยื่นทรัพย์สินพร้อมภรรยา อีกทั้งทรัพย์สินส่วนภรรยามากกว่า และตนเองก็พยายามจะแจงทรัพย์สินให้ละเอียดที่สุด รวมถึงการยื่นทรัพย์สินยังต้องระบุมูลค่า ณ ปัจจุบัน ดังนั้นที่ดิน/บ้าน เมื่อเวลาผ่านไป ต่อให้ไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่มูลค่าก็จะเพิ่มขึ้น
สุชัชวีร์ยังได้กล่าวถึงหลักฐานการเสียภาษีของตนเองที่ได้มีการยื่นประกอบ ซึ่งสอดคล้องกับมูลค่าทรัพย์สิน โดยขณะที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ได้มีการตรวจสอบ ซึ่ง สจล. เองก็ทำคะแนนได้ดีมาตลอด
“ผมเองเป็นวิศกรอาชีพ วุฒิวิศวกรนั้นคือวิศวกรขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นรายได้ทุกปีหลังจากกลับจากอเมริกา รายได้ก็มาจากการประกอบวิชาชีพวิศวกร หลายๆ คนก็คงติดตามผลงาน ไม่ว่าเป็นการออกแบบอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาที่เราได้ใช้บริการกัน และมีโครงการอีกจำนวนมาก มากถึงขนาดขอเป็นวิศวกรขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นรายได้ส่วนหนึ่งซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญเลยก็คือมาจากอาชีพวิศวกร” สุชัชวีร์กล่าว
สุชัชวีร์ยังได้กล่าวถึงรายได้อื่นๆ ก็มาจากเบี้ยประชุม โบนัส และการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น LTF หรือการลงทุนในหุ้น แต่ก็ยังมีหนี้ก้อนใหญ่ที่มาจากการกู้เงินสร้างบ้านรวม 35 ล้านบาท ส่วนรายได้รายปีขณะดำรงตำแหน่งอธิการบดีฯ นั้น 18.7 ล้านบาท
เมื่อถามว่ารายได้ปีละ 18.7 ล้านนั้นค่อนข้างสูง สุชัชวีร์กล่าวว่าตนเองจบปริญญาเอกวิศวะมาเกือบ 20 ปีแล้ว ถ้าไปดูคนในวัยเดียวกันที่จบมาคล้ายๆ กันบางคนก็ไปไกลกว่าตนเองเยอะแล้ว โดยตนเองได้เงินเดือนราชการเต็มขั้น เนื่องจากเป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะฉะนั้นเงินเดือนค่อนข้างกระโดด ทำให้เงินเดือนราชการสูงประมาณหนึ่งแสนบาท ที่เหลือเป็นเงินประจำตำแหน่ง ซึ่งเริ่มจากน้อย แต่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่าลืมว่าตนเองก็เป็นอธิการบดีมากว่า 7 ปี ซึ่งก็เต็มขั้นแล้วที่ 4 แสนบาท
ซึ่งเมื่อรวมเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งแล้วในขณะนั้นก็อยู่ที่ประมาณเดือนละ 5 แสนบาท เมื่อรวม 1 ปี ก็จะมีรายได้รวม 6-7 ล้านบาท ส่วนรายได้อื่นๆ ก็มาจากการเป็นกรรมการของบริษัท เงินโบนัส และเงินหุ้นหรือเงินลงทุน พร้อมระบุว่าตนเองไม่ทราบว่าใครไปร้องให้กรรมาธิการฯ สอบ
“มีหลายคนโทรมาบอกผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง แต่เรียนโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เพราะผมยังมีความเชื่อในเรื่องการตรวจสอบ และทุกท่านทำหน้าที่ของท่าน และผมก็ยังมั่นใจในระบบความยุติธรรม” สุชัชวีร์กล่าว
“มีแต่คนให้กำลังใจ เมื่อวานผมกับภรรยาก็นั่งคุยกัน ซึ่งภรรยาก็ให้กำลังใจ จริงๆ ผมควรให้กำลังใจภรรยามากกว่า หลายๆ ครอบครัวก็บอกว่าการก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองอาจทำให้ครอบครัวเดือดร้อนด้วย แต่ผมโชคดีที่คุณแม่ คุณพ่อ และภรรยาเข้าใจ และผมอยากจะเรียนว่าเมื่อเดือนที่แล้วชีวิตครอบครัวยังอบอุ่น มีเกียรติ ผ่านมาประมาณเดือนหนึ่งไม่รู้เจออะไรมานัดต่อนัก กำลังจะบอกว่าถ้าผมทำเพื่อตัวเองผมก็ไม่มายืนจุดนี้ เพราะผมมีชีวิตที่เต็มแล้ว มีครอบครัวที่อบอุ่น วันนี้ผมออกมาเพราะอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงจริงๆ ผมอยากเห็นประเทศ เมืองที่ดีสำหรับลูกเล็กๆ ของผม เพราะฉะนั้นแล้วก่อนที่จะทำได้ก็ต้องทนให้ได้ก่อน”
สุชัชวีร์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมเองตรงนี้ก็ต้องทนให้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็จะบอกว่ารับน้องกันเบาๆ หน่อยก็จะดี”