ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งลง 767 จุด หรือ 2.9% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบปีนี้ จากแรงกดดันของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบใหม่ หลังธนาคารกลางจีนปล่อยให้สกุลเงินหยวนอ่อนค่าหลุดกรอบ 7 หยวนต่อ 1 เหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยในระหว่างวัน Dow Jones ปรับตัวลงถึง 961 จุด ก่อนจะรีบาวด์ขึ้นไปปิดที่ระดับ 25,717.74 จุด ซึ่งเป็นการหลุดแนว 26,000 จุดครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน และปิดลบติดต่อกัน 5 วันทำการ ซึ่งยาวนานที่สุดนับจากเดือนมีนาคม
นอกจาก Dow Jones แล้ว ดัชนีหลักอื่นๆ ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็พากันดิ่งลงถ้วนหน้า โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลง 3% ปิดที่ 2,844.74 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 6 วันทำการครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว
ขณะที่ดัชนี Nasdaq ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโดยตรง ก็ดิ่งลงถึง 3.5% ปิดที่ระดับ 7,726.04 จุด โดยเป็นการปรับตัวลงมากสุดนับจากวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2018 และปิดลบยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2016
ทั้งนี้การที่สกุลเงินหยวนอ่อนค่าลงแตะระดับ 7 หยวนต่อ 1 เหรียญสหรัฐ ได้สร้างความวิตกให้กับนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมากขึ้น เพราะเกรงว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจตอบโต้จีนด้วยมาตรการภาษีที่รุนแรงขึ้น จากอัตรา 10% ที่เตรียมเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้นักลงทุนยังกังวลว่า สหรัฐฯ ยังอาจพยายามลดค่าเงินเหรียญสหรัฐเพื่อตอบโต้จีน ซึ่งจะเป็นการจุดชนวนสงครามค่าเงิน และส่งผลให้อำนาจการซื้อของชาวอเมริกันลดลง
ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าจีนเป็นประเทศปั่นค่าเงิน หลังพยายามหลีกเลี่ยงใช้คำนี้มาตลอดนับตั้งแต่ทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2017 โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าว อาจเปิดทางให้รัฐบาลพิจารณามาตรการใหม่ๆ กับจีนเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจีนยืนกรานปฏิเสธว่า ไม่ได้แทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศแต่อย่างใด แต่ปล่อยให้เงินหยวนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด
นอกจากปัจจัยเรื่องจีนลดค่าเงินแล้ว ตลาดหุ้นยังวิตกกรณีจีนประกาศระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดดัชนีดิ่งลงสู่โซนสีแดง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: