หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไอทีพุ่งสวนทางดัชนี SVI ชนซิลลิ่ง ปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ 7.25 บาท หรือ +29.46% ขณะที่ COM7 วอลุ่มแน่นเป็นอันดับ 1 ของตลาด ปิดซื้อขายภาคเช้าที่ 75.75 บาท หรือ +5.94%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (11 พฤศจิกายน) ดัชนีย่อตัวในแดนลบภายหลังการเปิดซื้อขายไม่นาน และลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 1,626.80 จุด จากนั้นค่อยขยับขึ้นและปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ 1,631.08 จุด เพิ่มขึ้น 0.61 จุด หรือ 0.04%
โดยหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นและราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นคือหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มสินค้าไอที ดังนี้
COM7 เพิ่มขึ้น 5.94%
SVI เพิ่มขึ้น 29.46%
KCE ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
JMART เพิ่มขึ้น 1.71%
CCET เพิ่มขึ้น 10.69%
TEAM เพิ่มขึ้น 6.69%
โดยเมื่อวานนี้ (10 พฤศจิกายน) บมจ.เอสวีไอ หรือ SVI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 521 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 214.7% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ปัจจัยสนับสนุนมาจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนและซัพพลายเชนในการจัดซื้อวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ แม้ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการขาดแคลนวัตถุดิบและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทยังสามารถเจรจาปรับราคาสินค้ากับคู่ค้าได้ ทำให้อัตราการทำกำไรในไตรมาสนี้ปรับตัวขึ้นเป็น 11.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 4.3% และยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทที่เฉลี่ยอยู่ที่ 4-5%
ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 3/64 มีจำนวน 4,411 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงขึ้น 15.2% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ขยายผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและระบบเครือข่ายไร้สายสำหรับการสื่อสาร เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณความเร็วสูงสำหรับ 5G หรือ Optical Transceiver กล้องวงจรปิดที่รองรับเทคโนโลยี AI และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์อัจฉริยะและขนส่งสาธารณะ หลังจากตลาดยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียนปรับตัวดีขึ้น
สำหรับงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.56% หรือคิดเป็นอัตราการทำกำไรสุทธิ 7.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.1% โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 11,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ SVI กล่าวว่า ปีนี้มั่นใจว่ารายได้จากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 10% โดยบริษัทมุ่งให้ความสำคัญกับการจัดการวัตถุดิบด้านซัพพลายเชน และหลังจากการเข้าซื้อกิจการ โทโฮกุ ไพโอเนียร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตอุปกรณ์สำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ SVI จะมีความมั่นคงด้านวัตถุดิบและบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้ดี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และช่วยส่งเสริมการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโตได้ตามแผน
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประเมินว่าแนวโน้มกำไรของ SVI ในไตรมาส 4/64 และปี 2565 จะดีขึ้นต่อเนื่อง จากการที่บริษัทโฟกัสขยายลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ 5G, Cloud Computing, Microelectronics และ Industrial Cameras นอกจากนี้ ในปี 2565 บริษัทอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตในสโลวาเกียและกัมพูชา
ทั้งนี้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปีนี้ และปีหน้าขึ้นปีละ +41% สะท้อน GPM ที่ดีกว่าคาดในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้และปีหน้า เติบโตขึ้น 39% และ 11% ตามลำดับ
แนะนำซื้อ SVI ให้ราคาพื้นฐาน 8.90 บาท อิงกับ P/E ปี 22F ที่ 18 เท่า ปัจจัยเสี่ยงต่อราคาหุ้นคือ การขาดแคลนชิป, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาด
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้หุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไอทีได้รับความสนใจอย่างมาก ขณะที่ราคาหุ้นก็ปรับเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้รับกระแสความสนใจมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ หลังจาก KCE แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 ซึ่งกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ซึ่งจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันนี้เช่นกัน
“ผลประกอบการกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาส 3 ออกมาค่อนข้างดี หลายบริษัทมีกำไรดีกว่าที่คาดการณ์ ยกเว้นเพียง DELTA ที่กำไรไตรมาส 3 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนปรับเพิ่มขึ้นในวันนี้”
เขากล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่มสินค้าไอที ราคาหุ้นเริ่มทยอยเพิ่มขึ้นเนื่องจากตลาดเกิดความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่ายอดขายสินค้าไอทีจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 จากที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลกันเล็กน้อยถึงกระแส Work from Home ที่ซาลงอาจกระทบยอดขายผลิตภัณฑ์
โดย บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/64 จำนวน 194.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.11% จากไตรมาส 3/63 ที่มีกำไรสุทธิ 170.83 ล้านบาท นักลงทุนจึงใช้ผลประกอบการของ SYNEX เป็นไกด์ไลน์สำหรับบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจเดียวกัน
“ตอนนี้กระแส WFH เริ่มลดลง แต่เชื่อว่ายอดขายสินค้าไอทีจะไม่ลดลง เพราะจะมีกำลังซื้อที่แท้จริงเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนที่ทดแทนกันได้ในแง่ยอดขาย” ณัฐพล กล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP