เงินสดมหาศาลถึง 334,000 ล้านดอลลาร์ที่ Warren Buffett สำรองไว้ในบริษัท Berkshire Hathaway กำลังสร้างความฮือฮาในวงการการเงิน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านักลงทุนทั่วไปควรเลียนแบบกลยุทธ์นี้โดยไม่ไตร่ตรอง
ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มหาเศรษฐีผู้มีสมญาว่า ‘เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา’ ยังคงยืนยันว่า “แม้บางคนจะมองว่าเรามีเงินสดมากผิดปกติ” แต่ความจริงแล้วสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของ Berkshire ยังคงอยู่ในรูปของหุ้น และ Berkshire จะ “ไม่มีวัน” เลือกถือเงินสดแทนการเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน
ย้อนดูแล้ว กลยุทธ์การถือเงินสดก้อนใหญ่ของ Buffett ดูชาญฉลาด โดยเฉพาะในช่วงที่นโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาล Trump ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตลาด แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไป การมีเงินสดมากเกินไปอาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว
นักลงทุนทั่วโลกกำลังกักตุนเงินสดมหาศาลถึง 6.88 ล้านล้านดอลลาร์ในกองทุนตลาดเงิน (ข้อมูล ณ 16 เมษายน) แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการถือเงินสดมากเกินไปอาจทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า
Jack Manley นักกลยุทธ์จาก JPMorgan ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนแบบผสมผสานระหว่างหุ้น 60% และพันธบัตร 40% ให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือเงินสดในระยะยาวอย่างชัดเจน จากการศึกษาย้อนหลังตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2024 พบว่ายิ่งระยะเวลาลงทุนนานขึ้น โอกาสที่พอร์ตแบบนี้จะชนะเงินสดยิ่งสูงขึ้น
ตัวเลขน่าสนใจคือ ในระยะสั้นแค่หนึ่งเดือน พอร์ตแบบนี้ชนะเงินสด 65% แต่เมื่อขยายเวลาลงทุนเป็น 12 ปี พอร์ตแบบ 60/40 ชนะเงินสด 100% โดยไม่มีข้อยกเว้น นั่นหมายความว่า หากใครอดทนลงทุนยาวนานพอ การถือหุ้นและพันธบัตรจะให้ผลดีกว่าการถือเงินสดเสมอ
“เวลาที่นักลงทุนใช้อารมณ์นำเหตุผล มักตัดสินใจผิดพลาด โดยเฉพาะเมื่อตื่นตระหนก พวกเขามักจะวิ่งไปหาเงินสดเป็นที่พึ่ง” Manley อธิบาย
ปี 2024 เป็นปีทองของพอร์ตแบบ 60/40 ที่ทำผลตอบแทนได้ถึง 15% ตามข้อมูลจาก Morningstar ซึ่งดีกว่าพอร์ตที่กระจายลงทุนใน 11 สินทรัพย์ต่างๆ ที่ทำได้เพียง 10%
แต่ภาพนี้เริ่มเปลี่ยนในปี 2025 เมื่อนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ เข้ามามีบทบาท Amy Arnott จาก Morningstar ชี้ว่า พอร์ตที่กระจายการลงทุนกลับมาแซงหน้า โดยทองคำพุ่งสูงถึง 32% ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์ พันธบัตรทั่วโลก และอสังหาริมทรัพย์ ก็เอาชนะหุ้นสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน
สำหรับเงินสด Morningstar พบว่า ในช่วงดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ เงินสดกลายเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่มีข้อแนะนำว่า ควรแยกเงินสดไว้นอกพอร์ตการลงทุนหลัก ใช้เป็นเงินฉุกเฉินหรือรองรับค่าใช้จ่ายใหญ่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะผู้เกษียณควรสำรองเงินสดไว้สำหรับค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1-2 ปี
“แม้ตลาดจะผันผวนในตอนนี้ แต่อย่าเพิ่งรีบปรับเปลี่ยนการลงทุนแบบหักด้ามพร้า เพราะการตัดสินใจแบบเร่งรีบมักให้ผลลัพธ์แย่กว่าเดิม” Arnott กล่าว “หากคุณมีการจัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะกับกรอบเวลาและเป้าหมายการลงทุนของคุณก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเพียงเพราะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจไม่ใช่ความคิดที่ดี” Arnott กล่าว
Adrianna Adams ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินจาก Domain Money สังเกตว่า คนที่มีเงินสำรองพอดีมักรู้สึกสบายใจในช่วงตลาดผันผวน แต่เธอเตือนว่า หากคุณมีเงินฉุกเฉินเพียงพอแล้ว เงินส่วนที่เหลือควรนำไปลงทุนในตลาดจะดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ
“เงินที่ตั้งใจเก็บไว้ใช้ระยะยาว ไม่ควรปล่อยให้เป็นเงินสด” Adams ให้คำแนะนำ “แต่ถ้าเป็นเงินที่ต้องใช้ภายในสองปีนี้ ควรเก็บเป็นเงินสดไว้จะดีกว่า”
“คนส่วนใหญ่นิยมเก็บเงินฉุกเฉินในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง” Adams กล่าว “แต่สำหรับคนที่เสียภาษีในอัตราสูง ควรพิจารณาลงทุนในกองทุนพันธบัตรท้องถิ่นแทน เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับจะได้รับการยกเว้นภาษี”
ในขณะที่ Buffett อาจมีเหตุผลเฉพาะในการถือเงินสดมหาศาล นักลงทุนทั่วไปควรระมัดระวังในการหาความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความปลอดภัยของเงินสดและโอกาสในการเติบโตจากการลงทุนในตลาด
เพราะในท้ายที่สุด ศิลปะของการลงทุนไม่ได้อยู่ที่การเลียนแบบกลยุทธ์ของผู้เชี่ยวชาญอย่างไม่ไตร่ตรอง แต่อยู่ที่การปรับใช้หลักการให้เข้ากับสถานการณ์เฉพาะของตัวเอง
ภาพ: Roman Samborskyi / Shutterstock
อ้างอิง: