สัปดาห์ที่แล้ว หุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาถึง ‘ฟลอร์’ ที่ 30% เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน และวันที่ 4 ก็ยังตกต่อจนราคาลดลงถึงกว่า 70% มูลค่าตลาด หรือ Market Cap ของหุ้นลดลงจากระดับหมื่นล้านบาทเหลือเพียงประมาณ 3 พันล้านบาทในเวลาเพียง 3-4 วัน อาการแบบนี้ผมอยากจะเรียกว่า ‘Sudden Death’ หรือการตายที่เกิดขึ้นทันทีหรือภายในไม่กี่นาทีจากสาเหตุอะไรก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากความรุนแรง
เพราะบริษัทหรือหุ้นที่กล่าวถึงนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ไม่มีข่าวที่กระทบทางด้านลบกับการดำเนินงานโดยตรง แม้ว่าตลาดหุ้นในช่วงนั้นอาจจะตกลงมาประมาณ 2-3% จากความกังวลในระดับโลกที่เข้ามากระทบกับตลาดไทย แต่ผลกระทบกับตัวบริษัทมีน้อยมาก อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของบริษัทหลังจากหุ้นตกลงมาแล้วก็คือ ผู้บริหารถูกบังคับขายหุ้นที่นำไปจำนำไว้กับสถาบันการเงินจำนวนมาก ดังนั้นสาเหตุที่หุ้นตกลงมาหนักมากระดับ ‘ตาย’ ทันทีก็คือการที่หุ้นที่ถูกบังคับขายนั้น ‘ไม่มีคนรับ’ ราคาหุ้นจึงตกลงมาแบบไม่มี ‘พื้น’
ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นในช่วงที่หุ้นตกลงมาถึงฟลอร์ 3 วันติดต่อกันนั้นมีเพียง 36 ล้านหุ้น คิดเป็นเม็ดเงินเพียง 113 ล้านบาท ในขณะที่เงินกู้ที่ใช้หุ้นจำนำและจะต้องขายหุ้นเพื่อเอาไปคืนเงินกู้นั้น ว่ากันว่าอาจจะเป็นหลัก ‘พันล้านบาท’ ดังนั้นคนที่ ‘ขายหุ้นทัน’ จึงมีน้อยมาก คนที่ถือหรือเล่นหุ้นตัวนี้ส่วนใหญ่จึงขาดทุนแบบ ‘หายนะ’ คือขาดทุนถึง 70% ในเวลาเพียง 4 วันทำการ
ข้อสรุปของผมก็คือ หุ้นตัวนั้นที่มีราคาหรือมูลค่าหุ้นสูงถึงหมื่นล้านบาท และถ้ามองย้อนหลังกลับไป 2-3 ปี มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท เป็นราคาที่ ‘ไม่อิงกับพื้นฐาน’ ของกิจการ แต่เป็นราคาของหุ้นที่ ‘ถูก Corner’ มานานหลายปีแล้ว เห็นได้จากราคาที่สูงมากจนทำให้ค่า P/E สูงระดับเกิน 100 เท่าจากกำไรปกติของบริษัทต่อเนื่องมาหลายปี
การ Corner หุ้น โดยเฉพาะที่สามารถ ‘ยันราคา’ หุ้นไว้ได้นานหลายปีนั้นจำเป็นต้องมี ‘Story’ หรือเรื่องราวและความสามารถของบริษัท ที่จะเติบโตต่อเนื่องยาวนานในธุรกิจแห่งอนาคตที่จะไม่ถูกทำลายโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือไม่อย่างนั้นบริษัทก็จะต้องมีการขยายไปทำธุรกิจ ‘แห่งอนาคต’ ผ่านการตั้งหรือซื้อกิจการต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นมักจะต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก
แต่การที่จะเพิ่มทุนในส่วนของเจ้าของหรือการออกหุ้นใหม่นั้นก็มักจะทำให้นักลงทุนไม่ยอมรับและอาจจะต้อง ‘ถอย’ ตั้งแต่แรก ดังนั้นบริษัทจึงมักจะต้องกู้เงินหรือออกหุ้นกู้เพื่อระดมเงินมาลงทุนทำธุรกิจเพิ่ม ซึ่งการกู้เงินหรือออกหุ้นกู้นั้นมักจะมีเวลาต้องใช้คืนในเวลาเพียงไม่กี่ปี ส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ที่ 3-5 ปี
ประเด็นต่อมาของการทำ Corner หุ้นก็คือ การเข้าไปซื้อหุ้น หรือควรจะเรียกว่า ‘ไล่ซื้อหุ้น’ ที่เป็น ‘Free Float’ ที่เป็นของนักลงทุนในตลาดให้เหลือน้อยลงเรื่อยๆ จน ‘หมด’ ซึ่งก็จะทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนค่า P/E อาจจะไปถึง 100 เท่าจากกำไรปกติ
แต่การที่จะซื้อหุ้นจำนวนมากระดับนั้นก็จะต้องใช้เงินมหาศาล คนที่ทำ Corner มักจะไม่ได้มีเงินสดระดับนั้น แม้ว่ามองจากภายนอกเขาอาจจะเป็นคนรวยระดับ ‘มหาเศรษฐี’ โดยเฉพาะหลังจากที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงลิ่วแล้ว เขาจึงมักจะต้องกู้เงินโดยใช้หุ้นที่มูลค่าสูงขึ้นมามากมาวางจำนำเป็นหลักประกัน ซึ่งในตลาดหุ้นไทยนั้นมีสถาบันที่รับจำนำหุ้นจำนวนมาก บางแห่งก็มาจากต่างประเทศ และบางทีก็ใช้เครื่องมืออื่น เช่น บล็อกเทรด เป็นตัวช่วยระดมเงิน
สรุปก็คือ ในกระบวนการ Corner หุ้นนั้นจะมีการกู้เงินมาใช้จำนวนมาก ทั้งการกู้โดยบริษัทและการกู้เป็นการส่วนตัว ทั้งหมดนั้นโดยมีหุ้นของบริษัทเป็นหลักประกัน และการกู้เงินหรือการระดมเงินจากภายนอกนั้นก็มักจะได้รับการตอบรับจากผู้ให้กู้เป็นอย่างดี เพราะในช่วงเวลาปล่อยกู้ทุกอย่างยังดูสดใส ภาพทางเศรษฐกิจและการเงินโดยทั่วไปยังดูดี ตลาดหุ้นยังดูดีมีความหวังแม้ว่าจะไม่ได้สดใสนัก
ที่สำคัญก็คือ ตัวบริษัทและผู้บริหารหรือเจ้าของหุ้นเองนั้น ช่วงก่อนหรือระหว่างการ Corner หุ้นนั้นต่างก็เป็น ‘ดารา’ กิจการ ‘กำลังโต’ กำไรดี ‘มีวิชัน’ เป็นผู้นำในวงการธุรกิจ และ ‘รวยเป็นบ้า’ เป็นเศรษฐีหมื่นล้าน บางคนแทบจะเป็นเศรษฐีระดับ ‘แสนล้านบาท’ เงินกู้ที่ปล่อยไปนั้นมี ‘ความเสี่ยงต่ำ’ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาหุ้นหลักประกันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสภาพคล่องของหุ้นที่สูงมาก
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปอาจจะสัก 3-4 ปี ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของไทยก็เริ่มแย่ลง การเติบโตของบริษัทก็เริ่มถดถอยลง บางแห่งกำไรลดลงด้วย เพราะกิจการหรือธุรกิจที่ขยายไปทำหรือซื้อมาไม่โตอย่างที่คิดและบางแห่งก็ขาดทุนด้วย Story ที่สวยหรูไม่เป็นไปอย่างที่คิด ผลประกอบการของบริษัทที่ทยอยออกมาน่าผิดหวังไตรมาสแล้วไตรมาสเล่า นักลงทุนบางคนเริ่มขายหุ้นบ้าง ราคาหุ้นไม่ขึ้นอีกต่อไป แต่ค่อยๆ ตกลงมาช้าๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าของ และ/หรือ ‘สปอนเซอร์’ ที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่ช่วย Corner หุ้นต่างก็ต้องเข้ามาช่วย ‘พยุง’ ไม่ให้ Corner ‘แตก’
แต่ถึงจุดหนึ่ง เมื่อทุกอย่าง ‘สุกงอม’ ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวบริษัทที่ผลประกอบการย่ำแย่จนทำให้คนภายนอกซึ่งรวมถึงนักลงทุนและสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ทุกคนขาดความมั่นใจ เจ้าของหรือสปอนเซอร์เองก็ไม่สามารถรับภาระในการจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินที่กู้มาจำนวนมากได้ วันนั้นก็จะเป็นวันประเภทที่เรียกในภาพยนตร์สยองขวัญว่า ‘นรกแตก’ และในวงการหุ้นเรียกว่า ‘Corner แตก’ หุ้นตกลงมาจนแทบหมดค่า ชีวิตของคนที่ร่ำรวยจากหุ้นหรือได้กำไรมากมายจากหุ้นอาจจะเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน
หุ้นบางตัวนั้นเหตุการณ์อาจจะเริ่มจากการที่บริษัท ‘ไปไม่ไหว’ ทั้งๆ ที่เคยเป็น ‘บริษัทดี’ บางตัวแทบจะเป็น ‘ดารา’ แต่การลงทุนที่ผิดพลาดประกอบกับภาวะของอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลง ประกอบกับการกู้เงินที่มากขึ้นมาก ทำให้สถานะการเงินของบริษัทมีปัญหา ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งนั่นทำให้ทุกอย่างของบริษัทเปลี่ยนแปลงไป คนคิดว่าบริษัทคงใกล้จะล้มละลาย ดังนั้นทุกคนก็เทขายหุ้น Corner แตกทันที
หุ้นบางตัวนั้นบริษัทก็ยังคงไปไหว แต่เจ้าของและคนที่ทำ Corner หุ้นไปไม่ไหว ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะว่าหุ้นมี Free Float มากเกินไป ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากในการซื้อหุ้นจน ‘หมด’ และอาจต้องคอยดูแลไม่ให้หุ้นตกลงมามากเกินไป พูดง่ายๆ กำลังเงินไม่พอและอาจจะ ‘ประเมินผิด’ คิดว่าบริษัทมีสตอรีพอและนักลงทุนยังสนใจที่จะเล่นหุ้น Corner อยู่
แต่สถานการณ์แวดล้อมกลับเปลี่ยนแปลงไป ตลาดหุ้นเริ่มหงอยเหงาและนักลงทุนถอยออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้คนเลิกสนใจเล่นหุ้น Corner อย่างกะทันหัน ผลก็คือหุ้นตกและทำให้คนกู้เงินและเล่นหุ้นด้วยมาร์จิ้นถูกบังคับขายจำนวนมาก ทำให้หุ้นตกลงมาแบบถล่มทลายกลายเป็น ‘Corner แตก’ และเป็น ‘Sudden Death’ ของหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตัวบริษัทเองด้วย
ในหลายๆ กรณีและอาจจะเป็นส่วนมากด้วยซ้ำก็คือ มีทั้งการกู้เงินจำนวนมากโดยบริษัทและการกู้เงินเป็นส่วนตัวเพื่อที่จะทำ Corner หุ้นให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งในอดีตก็มักจะเป็นอย่างนั้น คือถ้าประเมินดีแล้วและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเป็นใจ รวมทั้งบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ดีและกำลังมีผลประกอบการที่น่าประทับใจ โอกาส Corner หุ้นได้สำเร็จก็เป็นไปได้สูง
แต่การกู้เงินจำนวนมาก ‘เกินกำลัง’ มักจะกลายเป็น ‘ดาบสองคม’ คือถ้าหากเกิดความผิดพลาด ไม่ว่าจะเกิดจากสิ่งใดหรือฝ่ายใด มันก็กลับมาทำร้ายตัวเอง ‘ถึงตาย’ ในชั่ว ‘ข้ามคืน’
ผมเองยังจำบทเรียนสมัยต้มยำกุ้งได้ดี ในตอนนั้นสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของไทยยังดีหรือคึกคักมาก อุตสาหกรรมต่างๆ เกือบทุกอุตสาหกรรมกำลังเติบโต แทบทุกบริษัทขยายธุรกิจโดยการกู้เงินมหาศาล เช่นเดียวกับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่กู้เงินมาลงทุนรวมถึงการเล่นหุ้นโดยเฉพาะของตนเอง แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป เริ่มต้นจากค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไปทันที ‘ชั่วข้ามคืน’ จาก 25 บาท เป็น 50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
ผลก็คือ คนที่กู้เงินจำนวนมาก ซึ่งมักจะเป็นการกู้เงินดอลลาร์ ล้มละลายเป็นใบไม้ร่วงในชั่วข้ามคืน เป็น ‘Sudden Death’ กันเกือบทั้งประเทศ และเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจผมตลอดมา และตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาผมก็แทบจะไม่กู้เงินเลย มีเพียงครั้งเดียวที่ผมใช้เงินมาร์จิ้นซื้อหุ้นตัวหนึ่งซึ่งคิดเป็นไม่ถึง 10% ของพอร์ต และรีบขายทำกำไรไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ไม่เคยกู้เงินเพื่อการลงทุนอีกเลย เพราะกู้แล้วผมมีความกังวล ไม่สบายใจเลย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเล็กน้อยและไม่น่าจะเกิดปัญหา
ผมเชื่ออย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูด “ถ้าคุณไม่เก่งจริง คุณไม่ควรจะกู้เงินมาเล่นหุ้น และถ้าคุณเก่งจริง คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินมาลงทุน” (เพราะคุณรวยได้อยู่แล้วด้วยฝีมือ)