เป็นอีกหนึ่งวันที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรงเป็นประวัติการณ์จากแรงกดดันของสถานการณ์โรคระบาด โดยเมื่อคืนนี้ (11 มิถุนายน) ดัชนี Dow Jones ดิ่งลง 1,861.82 จุด หรือ 6.9% ปิดที่ 25,128.17 จุด ทำสถิติร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม หลังผู้คนวิตกว่าจะเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 ในสหรัฐฯ เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นในบางรัฐหลังคลายล็อกดาวน์
นอกจากดัชนีหลักอย่าง Dow Jones แล้ว ดัชนี S&P 500 ก็ดิ่งลงถึง 5.9% ปิดที่ 3,002.10 จุด ขณะที่ Nasdaq Composite ร่วง 5.3% ปิดที่ 9,492.73 จุด
แรงกดดันในตลาดยังมาจากความเห็นของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ระบุว่า โรคระบาดอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างถาวร และทำให้คนตกงานในสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง พร้อมเตือนด้วยว่าสหรัฐฯ ยังอยู่ในหนทางอีกยาวไกลกว่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานในเดือนพฤษภาคมจะดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม
หลายวันก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นท่ามกลางความหวังว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลในหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ แต่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศได้สร้างความวิตกว่าจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกเกิดความผันผวนเมื่อวานนี้ โดยนอกจากตลาดหุ้นนิวยอร์กแล้ว ตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียก็ดิ่งลงถ้วนหน้าเช่นกัน
โดยดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงราว 4% ส่วนดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนี ดิ่ง 4.4% ขณะที่ดัชนี CAC ก็ปรับตัวลง 4.4% เช่นกัน
BBC ระบุความเห็นของ โรแลนด์ คาโลยาน นักกลยุทธ์ตลาดทุนยุโรปจาก Societe Generale ว่า ณ เวลานี้ตลาดเกิดความกังวลว่าจะเกิดการระบาดของไวรัสเวฟ 2 ซึ่งรัฐบาล บริษัท และประชาชนต้องเตรียมรับมือให้ดี แต่ปัญหาคือรัฐบาลในหลายประเทศมีเครื่องมือที่จำกัดในการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นหรือพยุงเศรษฐกิจ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: