ปี 2025 และอาจจะในปีต่อๆ ไปอีกหลายปี ตลาดหุ้นไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่นักลงทุนคุ้นเคยมานาน อาจจะเป็นสิบๆ ปีขึ้นไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นจะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่จะอยู่อย่างเดิมต่อไปอีกหลายปี กลายเป็นเรื่องปกติ หรือที่เราเรียกว่าเป็น ‘New Normal’
การเปลี่ยนแปลงสำคัญทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นนั้นจะมาจาก ‘การเปลี่ยนแปลงหลัก’ ของเศรษฐกิจไทย จากเศรษฐกิจโตเร็วเป็นเศรษฐกิจโตช้า ซึ่งเป็นผลจากสังคมไทยที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว คนเกิดใหม่น้อย ในขณะที่คนตายมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับคนสูงอายุที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าคนอายุน้อยมาก เพราะภายในอีกไม่กี่ปี แต่ละปีจะมีคนสูงอายุที่จะ ‘เกษียณ’ ปีละเป็นล้านคน ในขณะที่เด็กที่เติบโตถึงวัยทำงานใหม่มีแค่ 6-7 แสนคน เป็นต้น
จำนวนคนทำงานที่ลดลงในแต่ละปีนั้นจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ยากมาก ถ้าไม่ติดลบก็อาจจะดีมากแล้ว ดังนั้นเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะเติบโตไปได้อย่างไร? และถ้าเศรษฐกิจเหงาลงเรื่อยๆ ตลาดหุ้นจะโตไปได้อย่างไร?
New Normal แรกที่เกิดขึ้นชัดมากโดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2024 คือปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ลดลงหนักมาก และอยู่ในระดับ 3 หมื่นล้านบาทบวกลบ จริงอยู่ในวันที่ตลาดหุ้นบวก ‘แรง’ ปริมาณซื้อ-ขายก็ดีขึ้นบ้างจากแรงเก็งกำไร แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เกิน 4-5 หมื่นล้านบาท แต่ในวันที่ตลาดหุ้น ‘ตกหนัก’ ปริมาณการซื้อ-ขายก็มักจะ ‘ต่ำปกติ’ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมี ‘แรงช้อนซื้อ’ จาก ‘นักเก็งกำไร’ ที่คาดว่าหุ้นตกหนักเดี๋ยวก็จะปรับตัวขึ้นอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในสมัยก่อน
New Normal ต่อมาที่ผมคิดว่าอาจจะเกิดขึ้นมาหลายๆ ปีแล้วก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะกำลังอยู่ในช่วง ‘ตกต่ำระยะยาว’ นั่นคือ ดัชนีตลาดหุ้นในปีต่อๆ ไปมีแนวโน้มจะลดลงมากกว่าที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งนี่ก็เริ่มแสดงให้เห็นแล้วล่าสุดในปี 2024 ที่ดัชนีหุ้น ‘ติดลบ’ ต่อจากปี 2023 ที่ดัชนีก็ติดลบถึง 15% และในปี 2022 ดัชนีก็บวกแค่ 0.7% จากปี 2021
ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในอดีตตั้งแต่ปี 2542 หลังวิกฤตต้มยำกุ้งเป็นเวลา 26 ปีมาแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไม่เคยติดลบติดต่อกัน 2 ปีเลย หรือพูดง่ายๆ ถ้าปีไหนดัชนีติดลบ ปีต่อไปตลาดหุ้นก็มักจะดีขึ้น เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยนั้นมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปีในอัตราสูง ทำให้หุ้นซึ่งเป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจในระยะยาวดีขึ้นตาม
ดังนั้นในระยะเวลา 2-3 ปีก็เป็นเรื่องยากที่ดัชนีตลาดหุ้นจะแย่ติดต่อกัน 2-3 ปี และที่จริงผมเองก็ใช้ข้อมูลนี้เป็นส่วนประกอบเวลาที่ต้องทำนายว่า ‘ปีหน้าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง?’ และโดยทั่วไป ‘ถ้าปีนี้แย่มาก ปีหน้าก็จะต้องดี’ แต่ถึงวันนี้ผมต้องเลิกใช้แนวคิดนี้แล้ว
แน่นอนว่าดัชนีตลาดหุ้นไม่มีทางที่จะลดลงเรื่อยๆ ทุกปีแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำลงต่อเนื่องยาวนาน ดัชนีอาจจะปรับตัวลง 2-3 ปี หรือ 3-4 ปีแล้วก็ปรับตัวขึ้น บางทีก็แรงมากระดับ 40-50% ก็เป็นไปได้ถ้าดัชนีตกลงไปมาก แต่การปรับตัวขึ้นก็จะอยู่ไม่ทนและมักจะอยู่แค่ 1-2 ปี และจะปรับตัวลงมาใหม่จนอยู่ต่ำกว่าเดิมก่อนจะขึ้น กระบวนการนี้อาจจะเกิดขึ้นยาวนาน บางทีเป็น 10 ปีจนกลายเป็น ‘ทศวรรษที่หายไป’ หรือ ‘Lost Decade’
ที่จริงตลาดหุ้นไทยนั้น ถึงวันนี้เราก็พบปรากฏการณ์ ‘ทศวรรษที่หายไป’ แล้ว 1 ทศวรรษ แต่นั่นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เรากำลังเจอในวันนี้แม้ว่าจะมีบางอย่างร่วมกันอยู่บ้าง แต่สถานการณ์ต่อจากนี้ในปี 2025 ดูเหมือนว่าจะ ‘หนักกว่า’ และแก้ไขได้ยากกว่า และเราก็ต้องตระหนักว่ามีโอกาสที่จะเกิด Lost Decade ซ้ำถ้าประเทศไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรที่สำคัญในหลายๆ ด้าน
New Normal เรื่องต่อมาก็คือ การหันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศของนักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นแนว VI หรือคนที่ลงทุนในหุ้นพื้นฐานมากขึ้น ที่จริงนักลงทุนไทยก็เริ่มไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาหลายปีแล้ว แต่ตัวเลขการลงทุนโดยรวมของแต่ละคนก็ยังน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาก เหตุผลคงเป็นเพราะความคุ้นเคยและการรู้จักหุ้นไทยดีกว่าหุ้นต่างประเทศ ทำให้หลายคนยังรีรอที่จะไปลงทุนในต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ปี 2025 ผมคิดว่านักลงทุนจำนวนไม่น้อยน่าจะ ‘ถอดใจ’ กับตลาดหุ้นไทย กลยุทธ์หรือหลักการลงทุนหลายๆ อย่างที่เคยได้ผลดี ให้ผลตอบแทนดีมาก ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล รวมถึงเรื่องของการ ‘เก็งกำไร’ ซึ่งเป็น ‘ปัจจัยหลัก’ ที่ยึดโยงให้นักลงทุนเกาะติดกับตลาดหุ้นทุกวัน ตอนนี้หลายคนก็ไม่อยากจะเล่นกันแล้ว เพราะ ‘เล่นไปมีแต่เจ๊ง’ ปริมาณการซื้อ-ขายก็ซบเซา พลาดไปก็ติดหุ้น
พวกที่เน้นการลงทุนแบบพื้นฐานและแนว VI เองก็ ‘ถอดใจ’ เหมือนกัน การเติบโตของธุรกิจลดลงมากหรือไม่ได้โตจริง ประกาศงบออกมาราคาก็มักจะไม่ไปไหน หรือวิ่งไม่ทันไรก็ถูกเทขายตกลงมา โดยนักลงทุนสถาบันและต่างชาติที่เน้นแต่จะขายและก็ขายต่อเนื่องไม่มีวันหมด ดังนั้นไปลงทุนต่างประเทศดีกว่า และเดี๋ยวนี้มีเครื่องมือเพิ่มขึ้นมากที่ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือผลงานการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 2-3 ปีมานี้ดีกว่าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างเห็นได้ชัด
New Normal ของนักลงทุน ‘รุ่นใหม่’ ที่เห็นมาน่าจะเป็น 2-3 ปีขึ้นไปแล้วก็คือ คนสนใจเรื่องของการลงทุนระยะยาวน้อยลงไปมาก จิตวิทยาการลงทุนของพวกเขาก็คือการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ หรือตราสารระยะสั้น หรือการ ‘เทรด’ เพื่อสร้างกำไรจำนวนมากและรวดเร็ว คนพูดกันเป็น ‘เด้งๆ’ เวลาเทรด ไม่มีใครสนใจซื้อหลักทรัพย์แล้วรอเป็นปีๆ เพื่อที่จะได้ผลตอบแทน 10% หรือ 20% ต่อปีกันแล้ว
หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนตอนนี้ 70-80% เป็นเรื่อง ‘เทคนิคในการเทรด’ และการเป็นเศรษฐีเงินล้านภายในเวลาอันสั้น งานสัมมนาต่างๆ ที่จะดึงคนเข้าร่วมต่างก็มีรายการการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ระยะสั้นและตราสารเช่นพวกเหรียญดิจิทัลต่างๆ เป็นรายการหลักและมากกว่าเรื่องของพื้นฐานหุ้นระยะยาวที่กำลังกลายเป็นตัวประกอบ และถ้ามีก็จะเป็นเรื่องของการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก ‘ลงทุนแบบ VI’ เป็นรายการที่ ‘ตายไปแล้ว’
New Normal อีกเรื่องหนึ่งคือ การ Corner หุ้นที่เคยเฟื่องฟูมากในช่วงหลายปีก่อนที่มีการ Corner หุ้นจำนวนมากและมีหุ้นให้เล่นกันแทบทุกวัน ปี 2024 นั้นเป็นเวลาที่หุ้นโดยเฉพาะขนาดเล็กและกลางเกิดอาการ ‘Corner แตก’ กระจาย ราคาหุ้นตกลงมาแรงมาก แต่หุ้นตัวใหญ่ไม่กี่ตัวกลับถูก Corner หนักขึ้น เนื่องจากยังมีสตอรีและผลประกอบการที่รองรับอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปลายปี 2024 ‘รอยปริ’ ก็เกิดขึ้น ผลประกอบการที่ดีก็อาจจะถดถอยลงในปี 2025 ตามสภาวะของอุตสาหกรรมที่น่าจะชะลอตัวลง ในขณะที่ภาพรวมของตลาดหุ้นเองก็ไม่เอื้ออำนวยให้นักเล่นหุ้นมั่นใจในการเก็งกำไร ดังนั้น Corner หุ้นตัวใหญ่ก็อาจจะแตกได้ และนั่นก็จะทำให้ตั้งแต่ปี 2025 การ Corner หุ้นอย่างกว้างขวางในตลาดหุ้นไทยกลายเป็นอดีตประเภท ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ การ Corner หุ้นในอนาคตถ้าจะมีก็จะเป็นเรื่องของข้อยกเว้นที่นานๆ จะเกิดขึ้น
สุดท้ายของ New Normal ก็คือ เมื่อตลาดหุ้นหงอยเหงาจนถึงขีดสุด หุ้น IPO ก็จะหาคนสนใจซื้อยากและการทำ IPO ก็จะน้อยลงมาก เพราะราคาที่ขายหุ้นจะต่ำลง หุ้นของกิจการที่ดีจริงๆ ก็ไม่อยากจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนหุ้นของกิจการที่ไม่ดี คนก็ไม่อยากจะจองซื้อ ดังนั้น IPO ก็อาจจะน้อยและเหงาลง อาจจะหลายปีถ้าสถานการณ์ทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ยังไม่เปลี่ยน
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงการคาดหมายและคาดเดาจากประสบการณ์ และจากการศึกษาเรื่องของตลาดหุ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ ประเด็นต่างๆ ที่กล่าวถึงนั้น จริงๆ แล้วอยู่ในใจของผมมาหลายปีและก็ได้กล่าวถึงมาเป็นระยะๆ จนถึงสิ้นปี 2024 ผมก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ นั้นไม่น่าจะเป็น ‘เรื่องชั่วคราว’ อีกต่อไป และผมเองก็แทบไม่หวังแล้วว่ามันจะเปลี่ยนกลับมาเหมือนตลาดหุ้นเดิมที่ผมเคยเห็นในช่วง 10-20 ปีก่อน หน้าที่ผมตอนนี้ก็คือต้องปรับตัวเองให้รับกับ New Normal ใหม่นี้ให้ได้ดีที่สุด