ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติกฎหมาย และนโยบายเทคโนโลยีดิจิทัล จัดโดยคณะนิติศาสตร์ หัวข้อ “เทคโนโลยีและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมตลาดทุน”
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยถึงแนวทางส่งเสริมการนำ Digital ID และ New Tech มาใช้กับธุรกรรมดิจิทัลในตลาดทุน เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือ ตลาดทุนไทยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยประสบปัญหา ความเชื่อมั่น การนำดิจิทัลไอดี (Digital ID) ลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้จะเป็นกลไกสำคัญ ในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยเฉพาะปัญหาระบบการทำบัญชี 2 เล่ม ที่ธุรกิจมักทำบัญชีขึ้นมา 2 ชุด
โดยบัญชีชุดแรก เป็นบัญชีภายในที่บันทึกผลประกอบการตามจริง เพื่อใช้เป็นข้อมูล ในการบริหารกิจการ ส่วนบัญชีชุดที่สอง ใช้สำหรับส่งหน่วยงานรัฐ และเผยแพร่ให้กับนักลงทุน จึงเป็นบัญชีที่ถูกตกแต่งให้มีกำไรน้อยลง เพื่อที่จะได้เสียภาษีในอัตราที่ลดลงตาม
ข้อมูลที่น่าตกใจ คือ รายได้ภาษีนิติบุคคลกว่า 33% มาจาก 800 บริษัท เมื่อเทียบกับบริษัททั้งหมดที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ 900,000 บริษัท ยื่นงบดุล 300,000 บริษัท บริษัทที่อยู่ในระบบภาษี 100,000 บริษัท สะท้อนถึงความผิดปกติของระบบภาษีไทย ดังนั้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้กับระบบ จะช่วยแก้ pain point เดิมได้
“การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบในทันทีเป็นเรื่องยาก ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องเป็นคนเริ่มทำ Governance ในตลาดทุน ตามกรอบแนวคิด ESG ถ้า Governance Environment กับ Social ก็ดีตาม”
ด้วยเหตุนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงทำงานร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เตรียมให้บริษัทจดทะเบียน และบริษัทซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง ยื่นภาษีโดยใช้ E-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อดึงข้อมูลเข้าระบบสรรพากร ป้องกันธุรกิจเลี่ยงภาษี แลกกับการให้สิทธิประโยชน์ คืนภาษีเร็วขึ้น
สอดคล้องกับผลการศึกษาของ McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ฉายให้เห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของ Digital ID และ Digital Signature หากไทยมีการปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยมีอัตราการปรับใช้ 70% ของประชากรและภาคธุรกิจ ภายในปี 2573 จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจราว 3-13% ของ GDP หรืออย่างน้อย 357,000 ล้านบาท และสูงสุดได้ราว 1.58 ล้านล้านบาท
Digital ID ลดต้นทุน บจ. ปีละพันล้านบาท ธุรกรรมเสร็จภายในวินาที
สำหรับบริษัทจดทะเบียน การนำ Digital ID และ Digital Signature มาปรับใช้จะช่วยลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งต้นทุนเอกสารและการจัดเก็บ เพิ่มความเร็วธุรกรรมให้เสร็จภายในหลักวินาที จากเดิมที่ใช้เวลาเป็นวันหรือสัปดาห์ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงการทุจริตการยืนยันตัวตน
จากการวิเคราะห์ของ McKinsey & Company พบว่า บริษัทขนาดเล็ก จะสามารถประหยัด ค่าใช้จ่ายได้ราว 17.5 ล้านบาท-52.5 ล้านบาทต่อปี บริษัทขนาดกลางจะสามารถประหยัด ค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 87.5 ล้านบาท-350 ล้านบาทต่อปี และบริษัทขนาดใหญ่อาจประหยัดได้ถึง 525 ล้านบาท-1,750 ล้านบาทต่อปี ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ยังไม่รวมต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ ที่ลดลงจากการลดการใช้กระดาษ
ความท้าทายการสร้างระบบดิจิทัล
1. รัฐบาลต้องลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างระบบดิจิทัลตลาดทุนที่เชื่อมต่อกับรัฐบาล การที่รัฐบาลลงทุนสร้างระบบเอง เป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นว่าระบบมีความปลอดภัย ข้อมูลที่อยู่บนระบบจะไม่ถูกนำไปใช้ผิดกฎหมาย
2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน
เชื่อมข้อมูลหน่วยงานผ่านระบบกลางให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ระหว่างภาคธุรกิจกับราชการ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต้องถูกรองรับเหมือนเอกสารกระดาษ
3. ปรับปรุงระบบ Cybersecurity
ซึ่งเป็นหัวใจของบริษัทจดทะเบียน ปัจจุบันระบบต่างๆ ถูกแฮ็กตลอดเวลา แม้จะมีระบบ Firewall หรือระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่าย ทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นตรวจสอบและควบคุมการรับส่งข้อมูล ระหว่างเครือข่ายที่เชื่อถือได้
4. การปรับตัวของบริษัทในการใช้ เทคโนโลยี ใหม่ ต่อไปแต่ละหน่วยงานจะต้องมี AI เป็นของตัวเอง
เพื่อวางรากฐานให้เกิดการนำระบบ Digital ID และ New Tech มาใช้ในตลาดทุน อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ได้นำ AI เข้ามาตรวจสอบการดำเนินงาน ของบริษัทจดทะเบียน โดยการวิเคราะห์งบการเงินรายอุตสาหกรรม ว่าแต่ละอุตสาหกรรมมีลักษณะการ Leverage อย่างไร เป็นการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างกรณีของ STARK และ JKN
“ถ้าเรามีการวิเคราะห์ข้อมูล เตือนนักลงทุนก่อนล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยีรวบรวมข้อมูล และ มอนิเตอร์บริษัทจดทะเบียนจะช่วยลดความเสียหายได้”
อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาปรับใช้ตามแนวทางดังกล่าว อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยมีงานวิจัยรองรับ นอกจากการมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดี ยังต้องมีการปรับแก้กฎหมาย ให้ทันสมัยมากขึ้นควบคู่กันไป แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมี พ.ร.บ. อิเล็กทรอนิกส์
“การที่ตลาดทุนไทยนำ Digital ID และ New Tech จะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือ
ประหยัดต้นทุน เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างขีดความสามารถให้กับตลาดทุนไทยในระดับสากล”
กิติพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่าข้อมูลในงานสัมมนา หวังว่าจะมีพรรคการเมือง นำข้อเสนอไปต่อยอดเป็นนโยบายหาเสียงช่วงเลือกตั้ง นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่อเพิ่มพูนมูลค่าเศรษฐกิจประเทศโดยเป็นโอกาสที่ดีที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบดิจิทัลประเทศไทยมีความโปร่งใส เป็นธรรมกับประชาชน


