วันนี้ (31 กรกฎาคม) ธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคน จึงได้สั่งการให้เร่งรัดขยับเวลาการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ โดยจะเริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้ ซึ่งผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ซึ่งสามารถดำเนินการได้วันละ 1 ล้านบัญชี จากผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามีจำนวน 2.87 ล้านคน ส่วนนายจ้างจะได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล ตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุดลูกจ้างไม่เกิน 200 คน สำหรับนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามชื่อนิติบุคคลนายจ้างทุกๆ วันศุกร์ จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564
ธนกรยังกล่าวถึงการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ที่เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิล่าสุดไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 หลังผ่านมา 1 เดือน ปรากฏว่ายอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการมีผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 36.89 ล้านคน มียอดใช้จ่ายสะสมรวม 49,884.3 ล้านบาท แบ่งเป็น
- โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 22.74 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 46,317.4 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 23,455.6 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 22,861.8 ล้านบาท
- โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 59,284 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 758.3 ล้านบาท
- โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.26 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 2,644.8 ล้านบาท และ
- โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 826,684 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 163.8 ล้านบาท.
ธนกรกล่าวว่า ทั้งนี้จากการประเมินพบว่าประชาชนทั่วประเทศ ยังมีการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงรายละเอียดของบางโครงการ เช่น โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โดยขยายระยะเวลาการซื้อสินค้าหรือบริการที่จะได้รับ E-Voucher ถึงวันที่ 31 พฤศจิกายน 2564 เพิ่มวงเงินการใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณ E-Voucher สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน และปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ เป็น 1.4 ล้านสิทธิ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด
ขณะนี้กระทรวงการคลังได้กำชับให้ธนาคารกรุงไทย เร่งดำเนินการปรับปรุงระบบการใช้จ่ายเงินในโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ให้สามารถเชื่อมกับระบบของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ โดยคาดว่าจะดำเนินการเชื่อมระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อรองรับการใช้จ่ายหลังกระทรวงการคลังโอนเงิน ‘คนละครึ่ง’ รอบ 2 อีก 1,500 บาทเข้าแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ถึงสิ้นปี 2564
ส่วนยอดการลงทะเบียนล่าสุดของวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 โครงการคนละครึ่งมีการลงทะเบียนแล้ว 29.9 ล้านคน เหลืออีก 1.1 ล้านคน จะครบ 31 ล้านคน และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่ปรับลดเหลือ 1.4 ล้านสิทธิ ขณะนี้เหลืออีก 937,338 สิทธิ โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนควบคู่ไปกับการดำเนินการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเต็มที่ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี