โฮเวิร์ด ชูลท์ซ ประธานบริหารบริษัทสตาร์บัคส์ ร้านกาแฟดังสัญชาติสหรัฐฯ ประกาศก้าวลงจากเก้าอี้ผู้บริหารหลังทำงานในบริษัทเกือบ 40 ปี และมีส่วนสำคัญในการสร้างแบรนด์สตาร์บัคส์จนเติบโตอย่างแข็งแกร่งและครองใจคอกาแฟทุกเพศทุกวัยจนขยายสาขาไปทั่วทุกมุมโลก โดยหลังจากนี้ชูลท์ซอาจพลิกบทบาทไปเล่นการเมืองเต็มตัว
ชูลท์ซลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของสตาร์บัคส์เมื่อปีที่แล้ว ก่อนตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตด้วยการยุติบทบาทภายในบอร์ดบริหารสตาร์บัคส์ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ ขณะที่มีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าเขาอาจหันไปลงเล่นการเมือง เพราะในระหว่างที่ชูลท์ซให้สัมภาษณ์กับ The New York Times เมื่อวานนี้ เขาไม่ได้ปิดโอกาสตัวเองที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020
ในช่วงหลังชูลท์ซถูกพูดถึงบ่อยครั้งว่ามีโอกาสเป็นแคนดิเดตที่โดดเด่นของพรรคเดโมแครตในการลงชิงชัยเก้าอี้ประธานาธิบดี ส่วนตัวเขาเองก็ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองมากขึ้น รวมถึงวิจารณ์ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปีที่แล้วว่าเป็นประธานาธิบดีที่ก่อความวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน
“ผมต้องการซื่อสัตย์กับคุณเพื่อไม่ให้มีการนำข่าวลือไปพาดหัว แต่สำหรับตอนนี้ ผมรู้สึกเป็นห่วงประเทศของเราทั้งการเติบโตบนแผ่นดินแม่และตำแหน่งของเราบนเวทีโลก” ชูลท์ซ วัย 64 ปี เปิดใจกับ The New York Times
“หนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ผมอยากทำในชีวิตบทใหม่ก็คือการขบคิดว่ามีบทบาทอะไรบ้างที่ผมสามารถเล่นได้เพื่อตอบแทนประเทศ” ชูลท์ซกล่าวเสริม
เมื่อถูกยิงคำถามตรงว่าเขาพิจารณาลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีหรือไม่ เขาตอบว่า “ผมตั้งใจที่จะตรึกตรองตัวเลือกต่างๆ ซึ่งรวมถึงงานบริการสาธารณะ แต่ยังอีกยาวไกลที่ผมจะตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคต”
ชูลท์ซเปิดเผยว่าเดิมทีเขาและบอร์ดบริหารมีแผนประกาศการตัดสินใจของชูลท์ซตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่ต้องชะลอไปก่อน เพราะเกิดกรณีดราม่าสืบเนื่องจากร้านสตาร์บัคส์สาขาหนึ่งในฟิลาเดลเฟียได้เรียกตำรวจจับกุมชายผิวสี 2 คนที่นั่งแช่ในร้านโดยที่ไม่สั่งเครื่องดื่มเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนนำไปสู่กระแสต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวในสหรัฐฯ และทำให้สตาร์บัคส์กว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศต้องหยุดให้บริการ 4 ชั่วโมงเพื่ออบรมพนักงานเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ โดยโครงการติวเข้มพนักงานครั้งนั้นมีโฮเวิร์ด ชูลท์ซ เป็นหัวหอกนั่นเอง
อ้างอิง: