Starbucks เชนร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ เจอแรงกดดันอย่างหนัก หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 มีรายได้ 1.05 พันล้านดอลลาร์ ยอดขาย Same Store ทั่วโลกลดลง 3% ยิ่งในตลาดบ้านเกิดอย่างอเมริกา หรือแม้กระทั่งจีนยอดขายลดลงถึง 14% ฝั่งซีอีโอเร่งเครื่องกลยุทธ์ฟื้นฟูแบรนด์ ดึงลูกค้ากลับมาให้เร็วที่สุด
สาเหตุหลักที่ยอดขายลดลงมาจากเครื่องดื่มและอาหาร โดยเฉพาะเมนูกาแฟเย็นและน้ำมะนาว ราคาเริ่มต้น 6 ดอลลาร์ หรือราว 214 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้ลูกค้าเข้าร้านลดลง หากสังเกตจะเห็นว่าหลังจากร้านกาแฟปรับราคาขึ้นเพื่อรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคบางกลุ่มหันมาชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Starbucksเผยยอดขายลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ฉุดหุ้นในตลาดร่วงมากถึง 16% หั่นคาดการณ์โตปีนี้เหลือเลขหนึ่งหลัก
- Starbucksกับความท้าทายในตลาดจีน: ศึกชิงความเป็นเจ้ากาแฟในวันที่ลูกค้าอเมริกาไม่อุดหนุนแล้ว?
- เงินเฟ้อ ตลาดงานทรุด! เชนร้านอาหารทั่วโลกต้องปรับตัว ลดราคา-หั่นต้นทุน สู้วิกฤตเศรษฐกิจซบเซา
รวมไปถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกวัน จะเห็นได้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาStarbucks ต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างหนัก ทั้งในตลาดอเมริกา โดยเฉพาะแบรนด์ Dutch Bros เชนร้านกาแฟ Drive-Thru ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรง ก็เร่งทำการตลาดและขยายสาขาในอเมริกาอย่างหนัก ขณะที่ตลาดจีนก็มีร้านกาแฟในท้องถิ่นตัดราคาเพื่อดึงลูกค้า
Laxman Narasimhan ซีอีโอของStarbucks กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทวางกลยุทธ์เพื่อฟื้นฟูแบรนด์ให้กลับมาเติบโตให้ได้ เริ่มจากการเปิดตัวเมนูสุดคุ้ม จับคู่เครื่องดื่มและอาหารเช้า จำหน่ายในราคา 5-6 ดอลลาร์ ตลอดจนการเปิดตัวเครื่องดื่ม Summer-Berry Refreshers ที่มีส่วนผสมของราสป์เบอร์รี เทลงบนชั้นของไข่มุก และการนำเครื่องดื่ม Pumpkin Spice ซึ่งเป็นเมนูยอดฮิตกลับมา หลังจากเปิดตัวไปก็พบว่าคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีของเรา
พร้อมกันนี้ยังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Siren System ออกแบบมาเพื่อลดเวลาทำเครื่องดื่มเย็นและดื่มเครื่องปั่นให้เร็วขึ้นกว่าเดิม พร้อมออกแบบชั้นวางส่วนผสมของเครื่องดื่มอย่างนมและน้ำแข็งให้เรียงเป็นแถว เพื่อให้พนักงานเตรียมเครื่องดื่มได้โดยไม่ต้องก้มลงหยิบนมที่ซุกอยู่ใต้เคาน์เตอร์
ส่วนการขยายสาขาในปีนี้วางแผนเปิดร้านใหม่ 526 แห่ง เน้นเปิดในทำเลที่มีศักยภาพรองรับการเติบโตเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
เมื่อมาดูที่ปัจจุบัน ยอดขายส่วนใหญ่มาจากช่องทางแอปพลิเคชันและ Drive-Thru คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของยอดขายในร้านกว่า 9,500 สาขาในอเมริกา ส่วนเมนูไฮไลต์ยังเป็นเครื่องดื่มกาแฟเย็น ชา และน้ำมะนาว ส่วนกาแฟร้อนยังทำยอดขายได้ไม่สูงมาก
ทั้งนี้ ในมุมของนักลงทุนไม่ได้กังวลมากนัก เพราะเมื่อไม่นานมานี้หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายระยะยาว
อ้างอิง: