×

สแตน ลี: เด็กชายขอบ เจเนอรัลเบ๊ เชื่อฟังภรรยา สู่การเป็นผู้สร้างจักรวาลมาร์เวล

13.11.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • สแตน ลี เกิดมาในครอบครัวผู้อพยพชาวโรมาเนีย-ยิว ที่ย้ายมาใช้ชีวิตในอเมริกา ในวัยเด็กเขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ทำงานทุกอย่างเพื่อแลกเงิน และเริ่มต้นการทำงานในวงการการ์ตูนตั้งแต่อายุ 16 ปี จากตำแหน่งผู้ช่วยที่ต้องทำทุกอย่างที่คนในบริษัทต้องการ
  • เขาเคยหมดไฟในการเขียนการ์ตูนและเกือบลาออกจากบริษัท แต่ได้คำแนะนำจากภรรยาจนกลับมาเขียนการ์ตูนด้วยความท้าทายได้อีกครั้ง และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นผู้สร้างอาณาจักรมาร์เวลจนยิ่งใหญ่มาถึงทุกวันนี้
  • เขายุติบทบาทนักเขียนการ์ตูนประจำตั้งแต่ปี 1972 ขยับไปสู่บทบาทผู้อำนวยการสร้างซีรีส์ ภาพยนตร์ที่ผลิตจากหนังสือการ์ตูนของมาร์เวล รวมทั้งการปรากฏตัวในฐานะตัวประกอบเล็กๆ ที่ออกมาเป็นกิมมิกน่ารักๆ ให้แฟนๆ ได้ติดตาม

หลังจากวงการวรรณกรรมตะวันออกเพิ่งทราบข่าวร้ายการจากไปของกิมย้ง ปรมาจารย์นักเขียนนิยายกำลังภายในเมื่อวันที่ 30 เดือนตุลาคมที่ผ่านมา วงการหนังสือและภาพยนตร์ตะวันตก ก็ต้องพบข่าวร้ายตามมาติดๆ เมื่อ สแตน ลี นักเขียนการ์ตูนผู้ให้กำเนิดซูเปอร์ฮีโร่หลากมิติในจักรวาลมาร์เวลต้องจากโลกนี้ไปด้วยวัย 95 ปี

 

THE STANDARD POP ได้รวบรวมเรื่องราวในชีวิตตั้งแต่วัยเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวผู้อพยพ ต้องทำงานแลกเงินอย่างยากลำบากตั้งแต่เด็ก เข้าสู่วงการนักเขียนการ์ตูนจากการเป็นเจเนอรัลเบ๊ที่ทำทุกอย่างตามที่คนในออฟฟิศสั่ง ก่อนจะมีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาพลิกวงการซูเปอร์ฮีโร่ด้วยปลายปากกาของเขา ไปจนบทบาทสุดท้ายในชีวิต

 

เพื่อร่วมจารึกคุณงามความดีและส่งต่อแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ชีวิต 95 ปีของเขา ในฐานะหนึ่งในบุคคลผู้ทรงคุณค่ามากที่สุดในวงการบันเทิงเอาไว้ตลอดไป  

 

เด็กชายขอบที่ต้องทำงานทุกอย่างเพื่อแลกเงิน

 

 

เด็กชายสแตนลีย์ มาร์ติน ลีเบอร์ ลูกชายคนโตของซีเลีย และแจ็ค ลีเบอร์ ผู้อพยพเชื้อสายโรมาเนีย-ยิว ลืมตาขึ้นมาดูโลกที่เมืองแมนฮัตตัน ในวันที่ 28 เดือนธันวาคม 1922 กับอาชีพคนตัดผ้าของแจ็ค ลีเบอร์ และ ‘สถานะ’ ที่ไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไร ทำให้พวกเขาต้องย้ายที่อยู่ตามโอกาสต่างๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งพวกเขาไปใช้ชีวิตอยู่ที่อพาร์ตเมนต์เล็กๆ แห่งหนึ่งในย่านบร็องซ์ เมืองแห่งคนผิวสีและคนขายชอบ ที่สะสมประสบการณ์ชีวิตหลายๆ ด้านให้กับเด็กชายสแตนลีย์ มาร์ติน ลีเบอร์  

 

เขาและ แลร์รี ลีเบอร์ น้องชาย ต้องแชร์เตียงในห้องนอนแคบๆ ส่วนพ่อแม่ต้องซุกตัวเบียดกันอยู่บนโซฟาเล็กๆ ในห้องนั่งเล่น ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ อาจมีเวลาออกไปเที่ยวเล่นสนุกสนาน แต่สแตนลีย์ต้องใช้เวลาไปกับการทำงานพิเศษแทบทุกชนิด ตั้งแต่เขียนใบปลิวแจ้งข่าวคนตาย ทำความสะอาดสำนักงาน ส่งแซนด์วิช ขายหนังสือพิมพ์ เดินตั๋วหนัง เรียกได้ว่าทุกงานที่เด็กคนหนึ่งพอจะทำได้ เขาทำมาแทบทั้งหมดแล้วจริงๆ

 

ถ้าไม่นับการเล่นเป็นฮีโร่ต่อสู้กันกับน้องชาย ‘การอ่าน’ คือสิ่งเดียวที่สร้างความบันเทิงให้กับเขาได้ เขาชอบอ่านทุกอย่างที่มีตัวหนังสือกำกับอยู่ และยิ่งถ้าเป็นหนังสือหรือการ์ตูนแฟนตาซี ผจญภัย มีพลังพิเศษมาเกี่ยวข้อง เขาสามารถปิดตัวเองจากโลกภายนอกและหลุดเข้าไปอยู่ในโลกจินตนาการนั้นได้ทันที และด้วยนิสัยรักการอ่าน ทำให้เขาฉลาดกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน จนจบการศึกษาระดับไฮสคูลได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี และกลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของจักรวาลมาร์เวลในอนาคต

 

เริ่มต้นเข้าสู่วงการการ์ตูนในตำแหน่ง ‘เบ๊’

จากความช่วยเหลือของคุณลุง ทำให้ สแตน ลี ได้เข้ามาทำงานในแผนก Timely Comics (ที่จะกลายเป็นมาร์เวลในเวลาต่อมา) ของสำนักพิมพ์ Martin Goodman ในตำแหน่งที่เรียกให้ดูดีหน่อยคือผู้ช่วย แต่จริงๆ แล้วเขาคือ ‘GB’ หรือ เจเนอรัลเบ๊ ที่ต้องคอยทำทุกอย่างที่แผนกต้องการ ตั้งแต่ซื้อข้าวซื้อน้ำ เติมหมึกให้นักเขียน ลบรอยดินสอออกจากต้นฉบับ ไปจนถึงการตรวจความเรียบร้อยของต้นฉบับคอมิกทุกเล่ม ซึ่งอาจเป็นงานน่าเบื่อสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับหนอนหนังสืออย่างเขา เขาอ่านต้นฉบับทั้งหมดด้วยความละเอียดและเพลิดเพลิน และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาได้ซึมซับพื้นฐานของงานคอมิกได้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นไม่นานประตูบานแรกสู่การเป็นนักเขียนการ์ตูนก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเขามีส่วนร่วมในการเขียนบท Captain America 6 ในตอน Traitor’s Revenge และเป็นครั้งแรกที่ใช้ชื่อ สแตน ลี เป็นนามปากกา โดยเขาให้เหตุผลว่าต้องการเก็บชื่อจริงไว้ใช้กับงานวรรณกรรมในอนาคต แต่น่าเสียดายที่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เราก็ไม่ได้เห็นผลงานที่เขาอยากทำออกมาจริงๆ สักที

 

 

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน Destroyer ซูเปอร์ฮีโร่ตัวแรกที่เขาเป็นผู้สร้างขึ้นด้วยตัวเองจริงๆ ก็ได้ปรากฏตัวสู่สายตาสาธารณะชนใน Mystic Comics หลังจากนั้นเมื่อ โจ ไซมอน และ แจ็ค เคอร์บี้ นักเขียนและนักวาดลาออกจากบริษัทเพราะมีความคิดเห็นไม่ตรงกับเจ้าของบริษัท มาร์ติน กู๊ดแมน ก็ตัดสินใจเลื่อนสแตน ลี ที่ตอนนั้นอายุเพียงแค่ 19 ปี ขึ้นมาเป็นกองบรรณาธิการเต็มตัว

 

สแตน ลี ทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดีมาโดยตลอด กระทั่งปี 1942 ที่กองทัพเรียกตัวให้เขาไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตำแหน่งแผนกสื่อสารของกองทัพ ถึงแม้เขาจะเขียนการ์ตูนให้ Timely ไม่ได้ แต่เขาก็ยังเขียนการ์ตูนให้กับกองทัพสหรัฐอเมริกาหลายเรื่อง รวมทั้งเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทให้กับภาพยนตร์ของกองทัพในขณะนั้น

 

หลังสงครามจบ เขาก็กลับมาทำงานที่ Timely ต่อทันที พร้อมกับการเริ่มต้นชีวิตคู่กับโจแอน ลี (Joan Lee) ที่ไม่ใช่เพียงแค่คู่ชีวิต แต่เธอได้กลายเป็นผู้หญิงที่มีส่วนในการสร้างจักรวาลมาร์เวลในอีกไม่กี่ปีต่อไปนี้

 

พลิกชีวิตด้วยคำแนะนำจากภรรยา

 

 

หลังกลับมาทำงานในปี 1945 สแตน ลี ยังคงรักษามาตรฐานเดิมไว้ได้เป็นอย่างดีทุกอย่าง เขายังคงทำงานหนัก เขียนการ์ตูนอาทิตย์ละ 2-3 ฉบับ (บางอาทิตย์มากถึง 5 ฉบับ) เป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เขาเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับงานที่ทำ และเริ่มมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับมาร์ติน กู๊ดแมน เจ้าของสำนักพิมพ์ขึ้นมา

 

มาร์ติน กู๊ดแมน คิดว่าการ์ตูนของ Timely นั้นถูกสร้างมาเพื่อกลุ่มผู้อ่านที่เป็นเด็กโดยเฉพาะ ทำให้ตัวละครและพล็อตเรื่องที่ไม่ว่าจะผลิตออกมามากเท่าไร ก็จะวนเวียนอยู่ที่เรื่องของธรรมะชนะอธรรม ตัวเอกแสนดี มีพลังวิเศษออกไปปราบเหล่าร้าย ที่เนื้อเรื่องคล้ายเดิมแค่เปลี่ยนตัวละครไปเรื่อยๆ แถมจะออกแบบตัวละครหรือบทพูดให้ซับซ้อนมากก็ไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะเข้าใจยากเกินไปสำหรับผู้อ่านที่เป็นเด็ก

 

แต่สแตน ลี กลับไม่คิดอย่างนั้น เขาเชื่อว่าเขาสามารถพูดเรื่องที่ลึกกว่านั้นและทำให้ผู้อ่านไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่สามารถสนุกไปพร้อมๆ กันได้ เขาก้มตาก้มตาทำงานพร้อมกับความรู้สึกแบบนั้นอยู่หลายปี กระทั่งช่วงปลายยุค 50 ฝั่ง DC คู่แข่งคนสำคัญเริ่มทำการบุกตลาดใหม่ ด้วยการเอาซูเปอร์ฮีโร่อย่างเดอะแฟลช มาปัดฝุ่นใหม่ พร้อมกับอภิมหาโปรเจกต์ Justice League ที่รวมเอาซูเปอร์ ทั้งซูเปอร์แมน วันเดอร์วูแมน แบทแมน เดอะแฟลช ฯลฯ มาปฏิบัติภารกิจร่วมกัน

 

และสแตน ลี ก็ได้รับภารกิจใหม่จากมาร์ติน กู๊ดแมน ให้เขาสร้างซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มใหม่ขึ้นมาคานอำนาจกับฝั่ง DC ที่กำลังทำแต้มนำออกไปเรื่อยๆ ให้ได้ แต่ตอนนั้นไฟในการทำงานของสแตน ลี แทบไม่เหลืออยู่ ขนาดคิดว่าจะลาออกจากบริษัทตั้งแต่ตอนนั้นด้วยซ้ำ แต่โชคดีที่ได้คำแนะนำจากภรรยาสุดที่รักช่วยดึงสติเอาไว้

 

โจแอน มองว่านี่คือโอกาสสำคัญที่สแตน ลี จะได้ลองทำในสิ่งที่เขาได้แต่คิดมาตลอดจริงๆ เสียที อยากเขียนการ์ตูนแบบไหน อยากสร้างซูเปอร์ฮีโร่แบบไหนขึ้นมาก็ทำไปเลย เขาไม่มีอะไรจะเสีย เพราะเลวร้ายที่สุดก็แค่ถูกไล่ออก ซึ่งเขาเองก็คิดจะออกจากบริษัทอยู่แล้ว

 

ให้กำเนิดซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์

 

Photo: www.buzz.ie

 

หลังจากนั้นสแตน ลี ก็กลับมาตั้งใจเขียนการ์ตูนด้วยความรู้สึกท้าทายเหมือนสมัยยังเป็นเด็ก เขาได้กลับมาร่วมมือกับนักวาดอย่างแจ็ค เคอร์บี้ อีกครั้ง และร่วมกันสร้าง Fantastic 4 ขึ้นมาในปี 1961 ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งวงการคอมิก ด้วยกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่เจ้าปัญหา ที่มีทั้งมนุษย์ล่องหน มนุษย์ไฟ มนุษย์ยางยืดเจ้าอารมณ์ และมนุษย์หินที่หน้าตาไม่ได้ใกล้เคียงกับซูเปอร์ฮีโร่ในยุคนั้นแม้แต่น้อย

 

เมื่อพิสูจน์ตัวเองให้สำเร็จ สแตน ลี ก็เดินหน้าทำงานในแบบของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยให้ความสำคัญกับเวลาที่ซูเปอร์ฮีโร่ใส่หน้ากากและถอดหน้ากากเท่าๆ กัน เพราะเขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้ และซูเปอร์ฮีโร่ทุกคนก็มีปัญหาและความไม่สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไปได้เช่นกัน

 

Photo: www.buzz.ie

 

เราเลยมีโอกาสได้เห็น Hulk ซูเปอร์ฮีโร่ยักษ์เขียวจอมเกรี้ยวกราด ได้เห็น Spider Man ที่ในยามปกติก็เป็นมนุษย์แสนธรรมดา ที่ต้องทำงานปากกัดตีนถีบ มีรักโลภโกรธหลงเหมือนคนทั่วไป ได้เห็น Iron Man มหาเศรษฐีที่เต็มไปด้วยอีโก้ ได้เห็น Thor เทพเจ้าสายฟ้าขี้เมา ที่มาตกหลุมรักมนุษย์ ได้เห็น Doctor Strange ที่ผ่านความผิดหวังอย่างหนักก่อนค้นพบพลังพิเศษ รวมทั้งการจับซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหมดมาทำงานร่วมกัน และเกิดปัญหาทะเลาะแบะแว้ง ขัดแย้งกันไม่ต่างจากเด็กในซีรีส์ Avengers ก็เป็นผลงานที่สร้างมาจากปลายปากกาของเขาอีกเช่นกัน

 

Photo: www.buzz.ie

 

และด้วยความที่สแตน ลี เติบโตขึ้นมาด้วยสถานะผู้อพยพ เป็นคนชายขอบที่ไม่มีคนยอมรับ ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของคนกลุ่มนี้เป็นอย่างดี และนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างตัวละครมนุษย์กลายพันธุ์ในซีรีส์ X-Men เพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่ถูกมองว่าแปลกแยก ว่าสุดท้ายแล้วทุกคนล้วนมีความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน และไม่ว่าใครก็อาจก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้ด้วยกันทั้งนั้น

 

รวมทั้งการสร้างตัวละครอย่าง Black Panther ที่เป็นซูเปอร์ฮีโร่เชื้อสายแอฟริกันคนแรก (แต่ยังออกมาแบบสวมหน้ากาก) ไปจนถึงการสร้าง Falcon ที่เป็นซูเปอร์ฮีโร่ผิวสีคนแรกขึ้นมา จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนคนอื่นๆ สร้างตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ผิวสีอย่าง ลูค เคจ, เบลด ฯลฯ ในเวลาต่อมา

 

หลังจากสร้างตัวละครที่ฉีกขนบเดิมได้อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด เคยมีคนถามเขาว่า “กลุ่มเป้าหมายของเขาคือใคร และเขาเขียนเรื่องเหล่านี้ให้ใครอ่านกันแน่” แต่คำตอบที่เขาให้กลับมานั้นแสนเรียบง่ายคือ “ผมไม่รู้”

 

“การแต่งเรื่องไม่ใช่สิ่งที่ผมรักมากที่สุด สิ่งที่ผมรักมากที่สุดคือการอ่าน เพราะฉะนั้นผมไม่รู้หรอกว่าใครจะมาอ่านหนังสือของผม เพราะผมแค่เขียนมันขึ้นมาจากเรื่องที่ผมอยากอ่านเท่านั้นเอง”

 

 

และเขาก็เขียนการ์ตูนด้วยความเชื่อนั้นมาตลอดเป็นระยะเวลา 10 กว่าปี ก่อนที่จะวางมือจากการเป็นนักเขียนประจำในปี 1972 โดยฝากผลงานสุดท้ายไว้ใน Fantastic Four เล่ม 125 แล้วหันไปรับงานเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเต็มตัว รวมทั้งการขยับไปสู่บทบาทผู้อำนวยการสร้างซีรีส์ ภาพยนตร์ที่ผลิตจากหนังสือการ์ตูนของมาร์เวลในเวลาต่อมา

 

ตัวประกอบที่คนดูหลงรัก

นอกจากการมีชื่อเป็น Executive Producer ในหนังและซีรีส์แทบทุกเรื่องของมาร์เวล การปรากฏตัวในหนังและซีรีส์ของมาร์เวลหลายๆ เรื่อง ด้วยบทตัวประกอบ (Cameo) ของสแตน ลี ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Easter Egg ที่กลายเป็นเสน่ห์และกิมมิกน่ารักๆ ให้แฟนๆ ได้คอยลุ้นว่า ผู้ให้กำเนิดตัวละครเหล่านี้ จะออกมาร่วมซีนกับลูกๆ ของเขาในรูปแบบใดบ้าง

 

 

เริ่มต้นตั้งแต่ซีรีส์ The Trial of the Incredible Hulk (1989) ที่เขาปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะผู้ร่วมฟังการพิจารณาคดีของเจ้ายักษ์เขียว หลังจากนั้นเขาก็ปรากฏตัวอยู่เรื่อยๆ ตามซีรีส์เรื่องต่างๆ ก่อนจะเข้าสู่จักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวลยุคหลังอย่างเต็มตัวจากบทลูกค้าร้านขายฮอตด็อก ที่ได้แต่ยืนเฉยๆ ไม่มีบทพูดอะไรใน X-Men (2000)

 

 

แล้วเริ่มมีบทมากขึ้นด้วยการโผล่มาช่วยเด็กไม่ให้ถูกเศษผนังหล่นใส่ใน Spider Man ภาคแรก (2002) ก่อนจะมารับบทแบบเดิมอีกครั้งแต่เปลี่ยนเป็นช่วยผู้หญิง พร้อมกับได้พูดคำว่า “ระวัง” ให้ได้ฟังกันแบบเต็ม หลังจากนั้นเขาก็แทรกซึมอยู่ในหนังมาร์เวลแทบทุกเรื่อง ในแทบทุกบทบาทตั้งแต่บุรุษไปรษณีย์, คนรดน้ำต้นไม้, เป็นเศรษฐี, เป็นตัวเขาเอง, คนขับรถกระบะ, นายทหาร, บรรณารักษ์, กรรมการให้คะแนน, คนไข้, รปภ., มนุษย์ต่างดาว, พนักงานส่งของ มาจนถึงปีล่าสุดกับบทคนขับรถบัสใน Avengers: Infinity War และบทเจ้าของรถที่ถูกย่อส่วนใน Ant-Man and the Wasp และชายแก่ที่เดินมาให้คำแนะนำกับพระเอกใน Venom

 

 

เมื่อกลางปี 2017 เควิน ไฟกี บอสใหญ่แห่งมาร์เวลสตูดิโอ ได้ออกมาเปิดเผยความลับในการปรากฏตัวของสแตน ลี ในภาพยนตร์และซีรีส์จากมาร์เวลทุกเรื่อง ว่าทุกๆ บทบาทของเขานั้นคือตัวละครเดียวกัน ที่ชื่อ Uatu The Watcher สิ่งมีชีวิตผู้หยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นตัวละครที่สร้างขึ้นโดยสแตน ลี และแจ็ค เคอร์บี้ ปรากฏตัวครั้งแรกเพื่อเป็นประจักษ์พยานในการกำเนิดซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวลใน Fantastic Four เล่ม 13 และเป็นตัวละครสำคัญที่มักจะคอยเฝ้าดูเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในจักรวาลมาร์เวลมาโดยตลอด และการปรากฏตัวของเขาที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด ก็คือหนึ่งในบทบาทระหว่างการสังเกตความเป็นไปของโลกนี้ในฐานะ Uatu The Watcher นั่นเอง

 

ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีการเปิดเผยออกมาว่าโปรเจกต์หนังเรื่องต่อไปของมาร์เวล โดยเฉพาะ The Avengers 4 ที่จะเป็นบทสรุปสงครามล้างจักรวาลกับบอสใหญ่อย่างธานอส จะมีเขาปรากฏตัวอยู่ด้วยหรือเปล่า

 

แต่อย่างน้อยเราก็เชื่อว่าคุณปู่สแตน ลี จะนั่งมองความเติบโตและเปลี่ยนแปลงของลูกๆ ของเขาในจักรวาลจากบนท้องฟ้าอย่างมีความสุข ไปพร้อมๆ กับการจิบชาแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างพลังพิเศษของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่กับวิทยายุทธและกำลังภายใน อย่างออกรสอยู่กับคุณปู่กิมย้งอยู่ก็ได้

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X