วันนี้ (3 ธันวาคม) อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการออมระยะยาวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม หรือกองทุน SSF (Super Savings Fund) และปรับเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยยังคงวงเงินลดหย่อนรวมทั้ง SSF, RMF และการออมอื่นๆ ที่กำหนดรวม 500,000 บาท ได้แก่
1. กองทุน SSF
- สามารถลงทุนหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท
- ไม่กำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อหน่วยลงทุน และไม่กำหนดเงื่อนไขในการซื้อต่อเนื่อง
- วงเงินที่ซื้อกองทุน SSF บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 30% ของเงินพึงประเมินและไม่เกิน 200,000 บาท
- ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อถือมา 10 ปี (นับจากวันที่ซื้อ)
- เงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน SSF จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หากปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด)
- สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF ได้ 5 ปี (2563-2567)
2. การปรับเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกองทุน RMF ได้แก่
- เพิ่มสัดส่วนการหักลดหย่อนภาษีขึ้นเป็น 30% ของเงินได้พึงประเมินจากเดิมที่อยู่ 15%
- ยกเลิกการกำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อกองทุน RMF จากเดิมที่กำหนดให้ซื้อไม่ต่ำกว่า 3% ของเงินได้พึงประเมิน หรือไม่ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อปี แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า
ทั้งนี้สำหรับกองทุน RMF ยังคงกำหนดให้ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และไม่ระงับการซื้อเกิน 1 ปีติดต่อกันเช่นเดิม ปัจจุบันมีผู้ใช้สิทธิ์ LTF อยู่ 400,000 ราย ส่วน RMF อยู่ที่ 200,000 ราย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังชี้แจงว่า กองทุนใหม่ SSF ไม่ได้มาแทนที่กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในปี 2562 เพราะทั้ง 2 กองทุนมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน
โดยทางกระทรวงการคลังเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ผู้ที่ถือหน่วยลงทุนได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุน LTF เช่นเดียวกับกองทุนรวมอื่นๆ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า