×

ศรีสุวรรณยื่นฟ้องศาลปกครอง เอาผิดนายกฯ-​ครม. เดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต ชี้ว่าขัดต่อ กม. ทำคนไทยแบกรับหนี้สิน พร้อมขอระงับโครงการ

โดย THE STANDARD TEAM
09.08.2024
  • LOADING...
ศรีสุวรรณ จรรยา

วันนี้ (9 สิงหาคม) ที่ศาลปกครองกลาง ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เดินทางมาศาลปกครองเข้ายื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการคลัง และคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 โดยขอให้ระงับโครงการ พร้อมขอสั่งคุ้มครองชั่วคราว

 

ศรีสุวรรณกล่าวว่า มีประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้จำนวนเงินมหาศาล ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวหากไปใช้ในโครงการพัฒนาอื่นๆ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า แต่หากนำมาแจกให้กับบุคคลที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จะทำให้ผู้ที่ได้รับเงินและผู้ที่ไม่ได้รับจ่ายเงินจะต้องมาร่วมชดใช้หนี้สิน เพราะเงินดังกล่าวนอกจากจะมาจากภาษีประชาชนแล้ว ยังมาจากเงินกู้ที่จะต้องชำระดอกเบี้ยด้วย

 

ทั้งที่สถานภาพทางเศรษฐกิจ​ตอนนี้ทุกคนต้องแบกรับภาระหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 70% ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงหลายหน่วยงานออกมายืนยันว่า การดำเนินการโครงการดิจิทัล10,000 บาท จะทำให้เศรษฐกิจโตได้ 0.6-0.9% เท่านั้น และเกิดในระยะเวลาที่สั้นๆ แต่หลังจากนั้นภาระหนี้สินของประเทศก็จะเพิ่มมากขึ้น

 

ดังนั้นการที่รัฐบาลไม่ฟังเสียงท้วงติงของนักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการ รวมถึงหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง แต่กลับพยายามจะผลักดันโครงการอย่างถูลู่ถูกัง ทำให้หลายคนมองว่าเรื่องนี้ส่อว่าจะขัดต่อกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และ พ.ร.บ.เงินตรา รวมทั้งกฎหมายเกี่ยวกับเงินสำรองงบประมาณ หากไม่หยุดโครงการนี้คนไทยทุกคนก็จะร่วมกันรับผิดชอบ

 

ศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า ตนจึงเดินทางมาเพื่อขอให้ศาลสั่งระงับโครงการดังกล่าว หรือหากรัฐบาลเดินหน้าโครงการนี้ต่อ ก็ให้ไปปรับเงื่อนไขตามคำแนะนำของหลายองค์กร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางคนยากคนจนที่ถือบัตรสวัสดิการ​แห่งรัฐ ที่มีประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งจะใช้เม็ดเงินไม่มากและไม่เป็นภาระสำหรับงบประมาณที่จะใช้ไปพัฒนาโครงการอื่นๆ

 

ศรี​สุวรรณ​ยังกล่าวด้วยว่า แม้รัฐบาลจะมีการปรับที่มาของเงิน โดยออกเป็น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 ที่เพิ่งผ่านสภา งบประมาณ 1.22 แสนล้านบาท บางส่วนเป็นเงินกู้ ไม่ใช่มาจากงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่รัฐบาลพยายามใช้เทคนิคในการสอดไส้ และอ้างว่าไม่ใช่เงินกู้ แต่ความเป็นจริงแล้วมันคือเงินกู้ ซึ่งสถาบันการเงินหลายแห่งได้ทำวิจัย เพราะว่าคนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้แท้ที่จริงแล้วอาจไม่ใช่ผู้ค้ารายเล็ก แต่จะเป็นประโยชน์ต่อร้านสะดวกซื้อที่กระจายตัวอยู่นับหมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นของนายทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองหรือนักการเมืองมาโดยตลอด โครงการนี้จึงอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อมาโดยตลอด

 

ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะส่งผลต่อโครงการดังกล่าวหรือไม่ ศรี​สุวรรณ​กล่าวว่า หากศาลมองว่าการที่เศรษฐาแต่งตั้งบุคคลที่มีลักษณะ​ต้องห้ามมาเป็นรัฐมนตรี จะส่งผลให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี​หลุดออกจากตำแหน่งทั้งหมด ส่งผลให้โครงการต่างๆ ของรัฐจะต้องถูกระงับไว้ก่อน เพื่อไปฟอร์มคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่หาก ครม.ชุดใหม่ยังมีแต่หน้าเดิมๆ ก็คงจะผลักดันโครงการนี้ต่อไป เพราะเป็นนโยบายของแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือหากศาลรัฐธรรมนูญ​วินิจฉัย​ว่าไม่มีความผิด รัฐบาลก็จะเดินหน้าโครงการนี้ต่ออย่างแน่นอน

 

ศรี​สุวรรณ​กล่าวอีกว่า หากศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็จะทำให้โครงการแจกเงินจะต้องหยุดลงเหมือนกับกรณีที่เคยยื่นฟ้องโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งศาลปกครองก็ให้การคุ้มครองชั่วคราว จนสุดท้ายโครงการนี้ก็ต้องยุติลง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising