เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ศรีสุวรรณ จรรยา เดินทางไปยังสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ดอนเมือง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา หลังมีผู้ใช้นาม มาริโอ้ แจ้งความกรณี ศรีสุวรรณกล่าวโทษ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ไม่เก็บป้ายหาเสียงว่าเป็นการกลั่นแกล้ง
ในวันที่นักร้องโดนร้องกลับ THE STANDARD ชวนทำความรู้จักกับนักร้องมือวางอันดับ 1 ที่ชื่อว่า ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และอดีตรองหัวหน้าพรรครักษ์ถิ่นไทย
บทสัมภาษณ์และข้อมูลในรายงานชิ้นนี้เรียบเรียงจากที่ศรีสุวรรณเคยให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD
ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นใคร?
ศรีสุวรรณเรียกตัวเองว่าเป็น NGO นักเคลื่อนไหวผู้ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม ใช้ความรู้ทางกฎหมายที่ตนเรียนมาฟ้องร้องให้กับคดีมวลชน มีผลกระทบกับชาวบ้าน ไม่รับคดีส่วนบุคคล ทั้งชีวิตร้องมาแล้วกว่า 3,000-4,000 คดี ไม่คิดค่าดำเนินคดีกับชาวบ้าน แต่ก็มักได้รับสินน้ำใจตอบแทนมาเสมอ มีคดีใหญ่ๆ เป็นที่ประจักษ์อย่างเช่น คดีโรงงานที่มาบตาพุดรุกพื้นที่ชุมชน คดีระงับโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทของโครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลประยุทธ์ เป็นต้น
ร้องได้ไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแต่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร
ศรีสุวรรณย้ำว่าตนเองไม่ได้เข้าข้างฝักฝ่ายใด ฟ้องได้หมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ตลอดจนองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญก็ยื่นตรวจสอบมาหมดแล้ว โดยในช่วงที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ศรีสุวรรณเผยว่าตนถูกทหารเข้ามาเยี่ยมพบถึง 20-30 ครั้ง และโดนเรียกไปปรับทัศนคติอีกหลายครั้ง ตนก็ไปตามหมายเรียก ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด
ไม่กลัวศัตรู? ฟ้องเพื่อยกประเด็นถกถาม ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินถูก-ผิด
แม้ศรีสุวรรณจะฟ้องร้องใครต่อใครไปทั่ว แต่ก็ไม่หวั่นว่าจะมีศัตรูตามไล่ล่า ตนเปิดเผยว่าในยุคที่สื่อสารสนเทศครอบคลุมเช่นนี้ ตนถูกสะกดรอยตามได้ง่ายมาก แต่ตนก็หลบหลีกหนีมาได้โดยตลอด พร้อมย้ำว่าสิ่งที่ตนเองยื่นฟ้องร้องสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่ตั้งอยู่บนหลักกฎหมาย มองตามหลักข้อเท็จจริง ไม่คิดร้ายกลั่นแกล้งใคร ตนเองไม่ใช่ผู้ตัดสินคดี หวังเป็นเพียงผู้ตรวจตราความผิดปกติในสังคม (Watchdog) ให้สังคมได้ตระหนักรู้ ส่วนจะตัดสินผิด-ถูกอย่างไรก็สุดแท้แต่สังคมจะมอง
“สุดท้ายแล้ว ถึงเราจะถูกเกลียดชัง เราก็ยืนอยู่บนหลักกฎหมาย บนหลักข้อเท็จจริง กฎหมายไม่กลั่นแกล้งใครเป็นการเฉพาะ สิ่งที่เราร้องเรียนคือเป็นข้อสงสัยที่เราคิดว่ามันน่าจะขัดต่อกฎหมาย เราไม่ใช่ผู้ตัดสิน ไม่ใช่ผู้พิพากษา ผมไม่ใช่คนมีอำนาจวินิจฉัย ผมก็นำเรื่องที่ผมสงสัยแคลงใจนี้ร้องให้หน่วยงานที่เขามีหน้าที่ในการวินิจฉัยพิพากษาทำหน้าที่ ส่วนเขาจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขาเอง ถ้าเขาตอบมาได้เคลียร์ก็จบ บางเรื่องไม่จบก็ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป”
ไม่อยากให้สังคมมีศรีสุวรรณแค่คนเดียว อยากให้มีสักหมื่นแสนคน
ศรีสุวรรณระบุว่าตนเองไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐ หากใครสงสัยในตัวของเขาก็สามารถตั้งคำถามได้เฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป แต่ตนมั่นใจดีแล้วว่าสิ่งที่ทำทุกวันนี้ไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน สำคัญคือเราได้ทำให้เกิดความกระจ่างชัดขึ้นในสังคม ให้ได้มีคนเข้ามาชี้แจง และหวังว่าประชาชนจะออกมากล้าพูด กล้าร้อง เพราะสิทธิในการตรวจสอบรัฐไม่ได้อยู่แค่ศรีสุวรรณคนเดียว แต่อยู่ในตัวทุกคน
“ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะเข้ามาร้องเรียน เข้ามาตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยตลอด ไม่ได้เขียนว่าทำได้เฉพาะนายศรีสุวรรณคนเดียวเท่านั้น ทุกคนทำได้หมด แล้วผมอยากให้มีคนที่เป็นเหมือนศรีสุวรรณ คนที่หนึ่ง คนที่สอง คนที่หมื่นแสนทำหน้าที่เหล่านี้ มันจะทำให้ระบบคอร์รัปชันที่พยายามจะหาช่องทางหรือโอกาสในการที่จะคิดไม่ดีไม่ร้ายต่อประเทศชาติ มันถูกจับตาเหมือนมีตาสับปะรดคอยตรวจสอบมากขึ้น ผมว่ามันจะทำให้ประเทศเราได้รับการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีมากยิ่งขึ้น”
ไม่มีใครเป็นแบบอย่างนอกจากพ่อของตัวเอง
ศรีสุวรรณกล่าวว่าพ่อคือไอดอลเพียงคนเดียวของเขา พร้อมกับเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า แม้พ่อจะจบแค่ ป.4 แต่ท่านเป็นนักอ่านตัวยง มักจะอธิบายเนื้อหายากๆ ในหนังสือ และวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองบนหน้าหนังสือพิมพ์ให้ฟังเป็นประจำ
“ช่วงที่มีคดีความกับคนเยอะๆ เวลาพ่อผมไปศาลก็มักจะให้ผมติดสอยห้อยตามไปด้วย ผมก็เรียนรู้และซึมซับมา เพราะฉะนั้นไอดอลของผมจึงเป็นคุณพ่อ”
นอกจากร้องเรียนแล้ว ก็ชอบร้องเพลง
ศรีสุวรรณกล่าวว่าตนชอบร้องเพลง ในอดีตเป็นนักร้องเพลงสากลประจำวงดนตรีของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันชอบร้องเพลงลูกทุ่ง โดยทุกเวทีไม่ว่าจะงานแต่งหรืองานบวช ตนจะต้องออกไปร้องเพลง สาวงามเมืองพิจิตร ของ สดใส รุ่งโพธิ์ทอง
ฝากถึงนักการเมืองให้ทำตามกฎหมาย
“กฎหมายว่าอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ใช่ว่าท่านจะทะเลาะกันเฉพาะคู่ต่อสู้ทางการเมือง อย่างน้อยต้องมีบุคคลที่สามคือประชาชนอย่างผมคอยมอนิเตอร์พวกท่าน เหมือนสุนัขเฝ้าบ้าน (Watchdog) ถ้าท่านทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย ผมซัดหมด ไม่เลือกที่รักมักที่ชังหรอก ถ้ามีอะไรที่ผมดำเนินการได้ก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีทันที”
ศรีสุวรรณย้ำถึงข้าราชการว่า ต้องทำตามบทบาทหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด อย่าไหลตามคำพูดของนักการเมือง เพราะเจ้านายที่ต้องเคารพมากที่สุดคือประชาชน
“ผมทนทุกข์กับชาวบ้านมาเยอะ มีชาวบ้านมาร้องเรียนผมว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานรัฐ-นักการเมืองค่อนข้างจะเยอะ เราจึงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชาวบ้านได้รับความเป็นธรรม นี่คือบทบาทที่ผมพยายามทำมาโดยตลอด แต่ผมไม่ใช่เทวดาที่จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นได้ บางเรื่องที่ผมทำมันก็ล้มเหลวหรือไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง แต่ผมไม่ท้อและทำต่อไป นี่คือสิ่งที่อยากฝากถึงนักการเมือง ไม่ว่าคุณจะรวยล้นฟ้า ใช้อำนาจล้นเมือง ศรีสุวรรณก็ไม่กลัวถูกตรวจสอบ”
หนึ่งในพรที่ศรีสุวรรณอยากได้ในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
“ผมไม่อยากให้มี 22 พฤษภาคม 2557 เกิดขึ้นอีกแล้วในสังคมไทย ความขัดแย้งในสังคมเป็นเรื่องปกติ แต่ผมไม่อยากให้มีอำนาจพิเศษหรืออำนาจนอกกฎหมายมาทำให้ระบบสังคมเกิดปัญหา ไม่อยากให้มีการรัฐประหาร ไม่อยากให้มีการปฏิวัติ ขอให้ความขัดแย้งอยู่บนพื้นฐานการใช้สิทธิใช้เสียงของพี่น้องประชาชน”