วันนี้ (4 มิถุนายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการแต่งตั้ง วิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์และไม่เห็นด้วยจาก สส. พรรคเพื่อไทย โดยระบุว่า ได้พูดไปเยอะแล้ว เรื่องวาทกรรมทางการเมืองก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าวิษณุก็เป็นคนที่มีความสามารถ ไม่ได้หมายความว่าทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยจะไม่เก่ง ตนเชื่อว่าปัญหาต่างๆ ที่รัฐบาลประสบ เราต้องการคนเก่งเข้ามาช่วย
ส่วนเรื่องจะเป็นคนละสีเสื้อหรือคนละขั้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราคำนึงถึงพี่น้องประชาชนเป็นหลัก และการขับเคลื่อนนโยบายให้รอบคอบ ซึ่ง สส. พรรคเพื่อไทยก็น่าจะเข้าใจในส่วนนี้
“ผมก็อยากให้รอดูกันต่อไป แต่เชื่อว่าผมเองได้แสดงออกอย่างเต็มที่แล้วว่าเราไม่มีสีเสื้อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราลืมความเจ็บปวดในอดีต ต้องบริหารทั้งความคาดหวังและสภาพจิตใจของแต่ละฝ่าย ไม่ได้บอกว่าเป็นหน้าใหม่ เข้ามาแค่ 2-3 ปีแล้วทำเป็นลืมทุกอย่าง แต่เวลาก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาจิตใจของทุกฝ่าย การที่เรามาทำตรงนี้ เพื่อขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ก็เป็นสัญญาณที่ดีจากทุกฝ่าย และหวังว่าจะลดความร้อนแรงทางการเมืองลงไปได้”
สำหรับอดีตของวิษณุที่ทำงานร่วมกับหลายรัฐบาลรวมถึงรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายกฯ ระบุว่า ประวัติศาสตร์ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะอธิบายให้เยอะกว่านี้ได้อย่างไร มาดูที่ผลงานและความตั้งใจของท่านดีกว่า เรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์ของทุกฝ่ายอยู่แล้ว ก็ไม่อยากจะพูดย้ำไปย้ำมา
ส่วนที่วิษณุให้สัมภาษณ์ว่าจะมาอยู่แค่ชั่วคราวและมีสัญญาใจไว้กับนายกฯ นายกฯ กล่าวว่า เวลาพูดถึงสัญญาใจก็เป็นเรื่องของคนสองคน จึงขอความกรุณา ส่วนตัวรู้จักวิษณุมานาน แต่ก็ยังไม่เคยทำงานร่วมกัน ก็คิดว่าต้องพัฒนาความสัมพันธ์กันต่อไป ตนมั่นใจว่าหากสามารถทำให้ท่านมีความสุขได้ เราก็คงอยากจะลองคุยกันไปนานๆ
เมื่อถามว่า นอกจากวิษณุแล้ว ยังมีสัญญาใจกับทักษิณด้วยหรือไม่ในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศเหมือนกัน นายกฯ ตอบว่า มีสัญญาใจกับอดีตผู้นำหลายท่าน ใครมีข้อเสนอแนะที่ดีก็น้อมรับ การเป็นนายกฯ วันนี้กับเมื่อ 17 ปีที่ผ่านมาก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ผู้เล่นต่างๆ ก็ต่างกันไป
“แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราต้องทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว ใครมีข้อแนะนำดีๆ หรือมีข้อติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เราควรจะฟังก็คือข้อติมากกว่า ถ้าได้ยินสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยินตลอดก็ไม่มีการพัฒนา ผมเองก็พูดมาตลอดว่าผมมาอยู่ตรงนี้ได้เพราะทำตัวไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว และไม่ได้เลือกได้ยินเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยิน เสียงที่เราไม่อยากได้ยินเป็นเสียงที่ประเสริฐที่สุด ต้องนำมาพัฒนาและแก้ไขปรับปรุงกันไป ไม่ว่าจะมาจากท่านนายกฯ ทักษิณ ท่านนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน หรือท่านนายกฯ ชวน หลีกภัย ถ้าเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันก็พร้อมจะนำไปปรับปรุง”
และเมื่อถามต่อไปว่า ได้มีสัญญาใจกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า เรื่องใจต่อใจที่มีต่อท่านนายกฯ ประยุทธ์ ชัดเจนว่าจุดมุ่งหมายของเราคือสิ่งเดียวกัน เพราะท่านฝากบ้านเมืองไว้กับตนในฐานะนายกฯ คนที่ 30 ต่อจากท่าน ซึ่งเป็นนายกฯ คนที่ 29 ก็ต้องดูแลพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด แน่นอนว่าภูมิหลังหรือวิธีการก็แตกต่างกันไป ตนมาจากภาคธุรกิจ ท่านมาจากฝ่ายความมั่นคง วิธีการแนวทางอาจต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน ตนมั่นใจว่าท่านก็มีความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง แต่วิธีการอาจต่างกัน
เชื่อทักษิณไม่คิดหนีไปไหน
นายกฯ ยังกล่าวถึงจุดยืนเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งทักษิณเองก็ถูกสั่งฟ้องในคดีนี้ว่า ตามที่ได้บอกไป เคยพูดไปแล้ว ไม่อยากพูดอีกและไม่อยากพูดเรื่องนี้ ส่วนคดีดังกล่าวจะทำให้ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมรวมคดีดังกล่าวเข้าไปด้วยหรือไม่ นายกฯ ระบุว่า ก็ชัดเจนแล้ว ตนเองพูดไปแล้ว
ส่วนกระแสการหนีออกนอกประเทศของทักษิณนั้น นายกฯ ระบุว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้พบแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวของทักษิณ ก็บอกว่าทักษิณสบายดี และตนเองมั่นใจว่าท่านไม่ได้ออกนอกประเทศและท่านก็พร้อมสู้
“ท่านอยู่ต่างประเทศมา 17 ปีแล้ว ก็นานพอแล้ว เชื่อว่าท่านเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ต้องเข้ามาเจอ ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ และผมพูดแทนท่านไม่ได้ แต่คิดว่าท่านคงไม่คิดจะไปไหน” นายกฯ กล่าว
