วันนี้ (12 พฤษภาคม) พรรคเพื่อไทยรายงานว่า เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ให้สัมภาษณ์ Voice of America (VOA) สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่ครอบคลุมทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และออนไลน์กว่า 40 ภาษาทั่วโลก มีผู้รับชมและผู้อ่านกว่า 236 ล้านคน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงกรณีที่โพลหลายสำนักระบุว่าพรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำอยู่ในขณะนี้ว่า ผมขอสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหากต้องร่วมรัฐบาลกับพรรคของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ซึ่งทำรัฐประหารในปี 2557 หรือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ พันธมิตรของ พล.อ. ประยุทธ์
“ผมไม่เชื่อในการทำรัฐประหาร ผมไม่สามารถนึกภาพตัวเองทำงานร่วมรัฐบาล นั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีกับพวก พล.อ. ประยุทธ์ และ พล.อ. ประวิตร ได้ ผมอยากเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่แค่เพียงได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผมอยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงให้เศรษฐกิจและสังคมไทย หากสภาพแวดล้อมไม่อำนวยให้ผมสามารถทำได้ ผมยินดียอมสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรี”
VOA รายงานว่า แม้เศรษฐา ชายอายุ 60 ปีที่เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมานั้น ภายนอกอาจจะไม่มีประกายที่ทำให้มวลชนถูกตาต้องใจได้ทันที แต่เขามีความเฉียบแหลมทางธุรกิจที่จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งแบบที่พวกเขาเคยไว้วางใจทักษิณได้ นอกจากนี้ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ที่สูง 192 เซนติเมตรคนนี้มีไหวพริบในการสร้างแบรนด์อีกด้วย ก่อนที่จะเข้ามาสู่เส้นทางทางการเมือง เศรษฐาได้สร้างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวจนเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ชื่อ แสนสิริ ที่มีมูลค่าในตลาดสูงถึง 880 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย
เศรษฐายังกล่าวอีกว่า รู้จักกับทักษิณมาหลายสิบปี โดยทั้งสองครอบครัวต่างประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นความรู้สึกสิ้นหวังที่ชักนำให้เข้าสู่การเมือง เวลาที่นั่งอยู่บนยอดพีระมิด ตนจะเฝ้ามองดูว่าคนทั่วไปเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร ตนรู้สึกเศร้าใจกับสิ่งที่เห็น เพราะความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ทั้งในด้านการศึกษา ระบบสาธารณสุข และปัจจัยพื้นฐานอย่างอาหารที่อยู่บนโต๊ะ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นในประเทศที่มีศักยภาพมากอย่างประเทศไทย
เศรษฐากล่าวว่า แรงจูงใจที่กระตุ้นให้เข้าสู่การเมืองมากขึ้น คือการที่ประเทศได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิดอย่างหนัก ซึ่งรายงาน IMF ระบุ GDP ประเทศดิ่งลงถึง 6.1% ในปี 2563 ขณะเดียวกันผลสำรวจธนาคารโลกรายงานว่า 70% ของครัวเรือนประสบภาวะรายได้ลดลง และสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทย ก็เพราะพรรคมีหัวใจคือประชาชน พวกเขาชักชวนให้มาร่วม จนในที่สุดก็มีความเห็นร่วมกัน
VOA ยังวิเคราะห์อีกว่า เพื่อไทยมีเป้าหมายสำคัญเหมือนกันกับพรรคก้าวไกล นั่นคือการหยุดอำนาจภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 9 ปี แต่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลยังแข่งขันชิงฐานเสียงในพื้นที่เขตกันเอง พร้อมกันนั้นพรรคก้าวไกลยังวางตัวเองเป็นคนที่กล้าต่อสู้กับกลุ่มทุนผูกขาด และแก้ไข มาตรา 112 ที่มีโทษจำคุกสูงถึง 15 ปี ขณะที่ผู้สื่อข่าวถามเศรษฐาว่า จะแก้ไขปัญหา 2 ประเด็นคือ กลุ่มทุนผูกขาด และมาตรา 112 อย่างไร เศรษฐาตอบว่า ต้องการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ผ่านกระบวนการรัฐสภา
เศรษฐายังกล่าวถึงการจัดการกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทยด้วยว่า เราต้องมีความคาดหวังอยู่กับพื้นฐานของความเป็นจริง ตนไม่ได้เป็นศัตรูกับกลุ่มทุน แต่ต้องมั่นใจว่าจะสร้างโอกาสให้กลุ่มธุรกิจรายย่อยโตได้ ไม่ได้มาเพื่อทำร้ายกลุ่มทุน แต่มาเพื่อช่วยคนตัวเล็ก
“ส่วนในประเด็นความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ต่อมาตรา 112 ผมยังไม่เคยมีโอกาสคุยกับพวกเขานานพอ ยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่คนรุ่นใหม่โอเคหรือไม่โอเค ต้องหารือกัน ต้องพูดคุยกัน บางทีบางเรื่องอาจจะไม่ใช่ประเด็นที่เป็นปัญหาก็ได้ อย่างไรก็ตามก็ต้องคุยต่อ ถ้าคิดว่ากฎหมายปัจจุบันต้องแก้ไข ก็เป็นกระบวนการของรัฐสภา” เศรษฐากล่าว
ขณะที่สำนักข่าว CNN รายงานว่า เศรษฐา หนึ่งในสามตัวเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยระบุว่า เขาไม่ใช่คนของทักษิณ และกระตือรือร้นที่จะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขความไม่เท่าเทียมทางรายได้ของประเทศไทย ส่งเสริมสิทธิ LGBTQIA+ รวมถึงการแต่งงานเพศเดียวกัน ขจัดการทุจริต และนำประเทศไทยกลับสู่เวทีโลก
“ประเทศไทยอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาตลอด 5-8 ปีที่ผ่านมา เราอยู่ในอาการโคม่า คุณต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อให้พวกเขากลับมายืนได้ และสามารถกลับมาสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศอีกครั้ง ผมต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีที่สร้างความแตกต่างได้ ต้องส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างจริงจัง เราต้องออกไปคุยกับโลก เราต้องขายของให้ประเทศไทย เราต้องหาความได้เปรียบในการลงทุนในประเทศ และตีโจทย์ให้แตกว่าเราจะขายอะไรให้กับตลาดโลก” เศรษฐกล่าว
CNN ยังวิเคราะห์ด้วยว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเสียงข้างมากจาก 750 ที่นั่งในรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี แต่การที่วุฒิสภามีแนวโน้มที่จะลงคะแนนเสียงให้กับ พล.อ. ประยุทธ์ หมายความว่าพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันต้องการคะแนนเสียงมากกว่า 376 ที่นั่งจากสภาล่าง จึงจะเลือกผู้นำคนต่อไปได้ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า อย่าประเมิน พล.อ. ประยุทธ์ต่ำเกินไป ในปี 2557 รัฐธรรมนูญที่คนของเขาได้ร่างขึ้นมา ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบันได้ที่นั่งมากพอที่จะเลือกเขากลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2562 แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดก็ตาม เขาจะใช้ประโยชน์จากวุฒิสภาในการเป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน เมื่อเขาได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสภาแล้ว เขาจะโน้มน้าวให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนอื่นๆ เข้าร่วมรัฐบาล แม้จะมีเสียงข้างน้อยในสภาล่างก็ตาม