วันนี้ (12 ตุลาคม) ที่กระทรวงการต่างประเทศ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมเพื่อเตรียมการอพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในรัฐอิสราเอล ครั้งที่ 5/2566
โดยมีผู้ร่วมประชุม ได้แก่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, จักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมถึง พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมด้วย
สำหรับการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมหลังจากที่ความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างรัฐอิสราเอลและกลุ่มฮามาสดำเนินมาแล้ว 6 วัน โดยมีวาระในการหารือ ได้แก่ อัปเดตข้อมูลสถานการณ์ทั้งหมดในรัฐอิสราเอล รวมถึงตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และผู้ที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกัน
อีกทั้งแนวทางการอพยพคนไทยในครั้งต่อๆ ไป หลังจากที่วันนี้เป็นการอพยพครั้งแรก ตลอดจนการดูแลและดำเนินการกับผู้ที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกัน
เศรษฐากล่าวภายหลังการประชุมว่า ภายหลังการร่วมประชุม เศรษฐากล่าวแสดงความกังวลถึงสถานการณ์ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และชาวไทยที่อยู่ในพื้นที่อันตรายแสดงเจตจำนงในการขออพยพมาเกือบ 6,000 ราย ซึ่งขณะนี้มีเที่ยวบินเที่ยวแรกมาแล้ว โดยทางรัฐบาลยังมีความเป็นห่วงเป็นใย และมีหลายเรื่องที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะการบินเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งได้มีการพูดคุยกับทางกองทัพอากาศเพื่อที่จะนำเครื่องบิน C-130 และแอร์บัส A340 บินเข้าไปในพื้นที่เพื่ออพยพคนไทยกลับมาจำนวน 140 คน โดยจะออกจากประเทศไทยในวันที่ 14 ตุลาคมนี้
อย่างไรก็ตาม การลำเลียงคนไทยกลับมาในวันนี้ได้เพียง 20 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก จึงได้หารือร่วมกับที่ประชุมว่าให้เตรียมเครื่องบินให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ และยังมีเครื่องบินพาณิชย์จากสายการบินนกแอร์ 2 ลำ แอร์เอเชีย 2 ลำ ส่วนสายการบินไทยนั้นจะให้คำตอบในวันพรุ่งนี้
โดยจะเป็นการบินพิเศษผ่านน่านฟ้า 4 ประเทศ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะใช้เวลาในการประสานเพื่อขออนุญาตบินผ่านน่านฟ้าภายใน 48 ชั่วโมง นอกจากนี้ท่านทูตประจำอิสราเอลยังแจ้งเพิ่มเติมมาว่ามีความพร้อมในการลำเลียงคนไทยออกจากจุดเสี่ยงได้วันละประมาณ 200 ราย แต่นั่นเทียบได้เพียงหนึ่งเที่ยวบินเท่านั้น ซึ่งจะใช้ระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนในการอพยพออกมาทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องคิดวิธีทำให้เร็วขึ้น ส่วนบางคนที่ติดปัญหาเรื่องเอกสาร เช่น หนังสือขออนุญาตเดินทางระหว่างประเทศหล่นหายนั้น ถือว่าเป็นเรื่องรอง เพราะต้องเอาเรื่องความปลอดภัยสูงสุดเป็นเรื่องสำคัญ
เศรษฐากล่าวว่า ยังได้รับคำแนะนำจากปานปรีย์ โดยให้อพยพชาวไทยไปยังประเทศที่สามในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเรื่องนี้กำลังพิจารณาอยู่ แต่คงสร้างความยากลำบาก และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางการทูตที่ต้องพิจารณา เพราะในแง่ของเอกสารรายบุคคล หากไม่มีเอกสารแล้วจึงมีความกังวลว่าประเทศปลายทางเหล่านั้นจะให้เข้าประเทศหรือไม่ ส่วนเรื่องการอพยพทางเรือจะต้องผ่านบริเวณฉนวนกาซา จึงยังไม่สามารถทำได้
“ขอวิงวอนสายการบินเอกชนหากช่วยได้ก็มาร่วมด้วยช่วยกัน ทางกระทรวงการต่างประเทศพร้อมประสานให้บินผ่านน่านฟ้า ยืนยันว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ดีขึ้น และรัฐบาลมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้” เศรษฐากล่าว
ส่วนการเจรจากับทางปาเลสไตน์ให้ปล่อยตัวประกันชาวไทยนั้น เศรษฐาย้ำว่าได้มีการเจรจาในทุกช่องทางที่สามารถเป็นไปได้ เป็นเรื่องของความมั่นคง ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด แต่ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ถึงแม้ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจะค่อนข้างสูง แต่เราก็จะพยายามทำให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการบินไทยติดเรื่องอะไร เศรษฐากล่าวว่า การบินไทยติดขัดเรื่องเอกสารและการประกันเครื่องบิน รวมถึงไม่มีเที่ยวบินไปยังกรุงเทลอาวีฟ โดยมองว่าอาจจะให้บินไปประเทศใกล้เคียงแล้วรอรับช่วงต่อออกมา และเชื่อว่าการบินไทยก็ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน และทุกฝ่ายก็ทำงานกันอย่างเต็มที่
สำหรับการเพิ่มเจ้าหน้าที่เข้าไปยังพื้นที่นั้น เศรษฐากล่าวว่า หน้าที่หลักคือช่วยคนไทยออกมาเร็วที่สุด เพราะถนนหลายสายถูกปิด จึงต้องมีการเชื่อมต่อกับหน่วยงานความมั่นคง โดยทางผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ทำงานอย่างเต็มที่
ขณะที่การลำเลียงศพผู้เสียชีวิตชาวไทยกลับมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการอย่างเต็มที่ และทูตประจำรัฐอิสราเอลได้กดดันไปยังทางการอิสราเอล แต่ยังติดขัดเรื่องการระบุตัวตนและการชันสูตรพลิกศพ เพราะหากมีการสูญเสียจากภาวะสงคราม ทางการอิสราเอลจะมีเงินชดเชยให้ แต่หากนำศพกลับมาก่อนจะไม่มีหลักฐานเพื่อไปขอรับการเยียวยาตรงส่วนนั้น ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศจึงต้องดูให้ครบทุกมิติ
ส่วนการพูดคุยกับทางเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ เศรษฐากล่าวว่า ในประเด็นหลักคงเป็นการย้ำถึงความเข้าใจว่าเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง แต่เรามีการสูญเสียสูงสุด จึงจะมีการเจรจาให้ช่วยลำเลียงคนออกมาอยู่ในสถานที่ปลอดภัยและประเทศที่สามโดยเร็ว ซึ่งเชื่อว่าความลำบากและการสูญเสียที่รุนแรงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ส่วนได้มีการประสานกับทางสายการบินแห่งชาติอิสราเอลซึ่งมีระบบป้องกันขีปนาวุธ เพื่อลำเลียงคนไทยไปยังประเทศที่ไม่อันตราย เศรษฐากล่าวว่า เบื้องต้นได้มีการหารือกันในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เราภาวนาคือการไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้
ส่วนเรื่องมีการร้องเรียนมาว่าแรงงานไทยในพื้นที่สีแดงถูกบังคับจากนายจ้างให้ทำงานท่ามกลางภาวะสงคราม เศรษฐามองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ต้องให้ความช่วยเหลือ และจะมีการพูดคุยกับทางทูตอิสราเอล พร้อมย้ำว่า เรื่องรายได้เป็นเรื่องรอง แต่เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ ยืนยันว่าการอพยพคนไทยออกมาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แม้ตัวเลขการสูญเสียจะมากที่สุดเช่นกันก็ตาม