วันนี้ (1 เมษายน) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) จังหวัดนนทบุรี เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กับข้าราชการตำรวจและเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
โดยมี พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) มารอต้อนรับ
นายกฯ กล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า ตนคิดว่าถึงเวลาที่ตนจะต้องมาที่นี่ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้วว่า บช.สอท. ถูกสังคมเพ่งเล็งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีการย้ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สองท่าน เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปได้อย่างถูกต้อง จะต้องไม่มีการก้าวก่ายและก้าวล่วง และให้ความเป็นธรรมกับท่านทั้งสองด้วยเหมือนกัน
ตนเชื่อว่าทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ โดยเฉพาะรักษาการ ผบ.ตร. รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องจัดการให้หมดสิ้นไป หากอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังข่าวสารมา บอกว่าท่านผู้บัญชาการคนนั้นเป็นเด็กคนนั้นคนนี้ ตนว่ามันไม่แฟร์สำหรับท่านทั้งสองคน แต่ไม่มีอะไรตอบสังคมได้ดีกว่าการปฏิบัติของพวกท่านทุกคนและหน่วยงานต่างๆ
เศรษฐากล่าวอีกว่า งานที่ดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหวยออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน และเฟกนิวส์ทั้งหลาย เชื่อว่ากระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งเราทุกคนในที่นี้ต้องมีความรับผิดชอบให้พี่น้องประชาชนอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ได้รับความเป็นธรรมในการคุ้มครอง
ปัจจุบันเทคโนโลยีไปไกลมาก และการที่พี่น้องประชาชนถูกมอมเมา ถูกหลอกลวง ถูกต้มตุ๋น บางคนเก็บเงินมาทั้งชีวิตถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกไปหมดเลย บางคนเก็บเงินไว้รักษาพ่อแม่และเก็บเงินไว้ส่งลูกเรียนต่อ หรือส่งลูกเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของการที่เขาถูกหลอกลวง แต่เป็นปัญหาความมั่นคงของประเทศด้วย
นายกฯ กล่าวต่อว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นๆ กัน หรือมาสร้างภาพ แต่มาเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยในระยะเวลาอันใกล้ เราไม่มีเวลาแล้ว เรื่องการโยกย้ายต่างๆ ผ่านไปแล้ว เรื่องกระบวนการยุติธรรมเราได้ทำไปแล้ว ซึ่งผู้สื่อข่าวถามตลอดเวลาว่าได้ทำอะไรต่อหรือไม่ มีการปฏิรูป มีการพัฒนาอย่างไรต่อไป ตนคิดว่าสิ่งที่ถามเป็นเรื่องวาทกรรม วันนี้ทำให้เกิดเป็นรูปธรรมดีกว่า อย่าได้สนใจใครจะเป็นใครอะไรอย่างไร เชื่อว่าไม่มีใครใหญ่กว่าพี่น้องประชาชน
“ผมต้องการการทำงานโดยเร็ว และไม่ใช่รายเล็ก ผมต้องการรายใหญ่ เชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้รู้อยู่แล้ว ในหน่วยงานของท่านใครที่ทำผิดกฎหมายอยู่บ้าง ใครที่พวกท่านสามารถไปตามจับสืบมาได้ ส่วนเรื่องคดีความของทั้งสองท่านที่ถูกย้าย เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดิมไปตามหน้าที่ เราต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองท่าน ต่อไปเราต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่เช่นนั้นจะตอบสังคมไม่ได้” เศรษฐากล่าว
เศรษฐากล่าวด้วยว่า จะไม่ปกป้อง จะไม่นิ่งเฉย หากไม่มีผลงานเกิดขึ้นมีปัญหาแน่นอน เราอยู่พวกเดียวกัน ฝ่ายเดียวกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงนักการเมืองหรืออะไรก็ตามจะมาครอบงำ วันนี้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ผลงานของเราจะเป็นที่ประจักษ์ ขอเป็นนิมิตใหม่อันดีและเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของการที่เราเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชน ภายใน 30 วันนี้ชัดเจนว่าจะจับอะไรให้ได้
ทั้งนี้ หน่วยงานจะต้องทำงานกันอย่างชัดเจนและใกล้ชิด เพราะเทคโนโลยีไปไกลมาก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมที่จะทำงานร่วมกัน ตนจะเจอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในวันที่ 2 เมษายนนี้ จะกำชับอย่างเด็ดขาดว่าต้องทำงานร่วมกัน อย่ามีการโยนความผิดซึ่งกันและกัน อย่าบอกว่าคนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ พวกท่านเองก็ต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่ให้คนผิดลอยอยู่ได้ และยังทำทุกอย่างผิดๆ อยู่
เศรษฐากล่าวอีกว่า ตนอยากได้เหตุผลว่าทำไมถึงจับไม่ได้ มันต้องจับให้ได้ เพื่อพี่น้องประชาชนจะได้อยู่อย่างมีความสุข อย่าให้ประชาชนถูกซ้ำเติมโดยเฉพาะการถูกหลอกลวงเงิน ต้องขจัดปัญหานี้ออกไปให้หมดจากสังคมไทย ผมยืนยันเรื่องนี้เป็นเรื่องซีเรียส ยืนยัน 30 วันต้องชัดเจน
‘ผบช.สอท.’ ลั่น พร้อมพิจารณาตนเองหากไม่มีผลงาน
ด้าน พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างสองนายตำรวจที่ผ่านมานั้นให้ถือเป็นเรื่องในอดีตที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ส่วนกรณีที่ตนเองถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กของใครนั้น นายกรัฐมนตรีก็รู้สึกสงสาร จึงอยากให้พิสูจน์ตนเองด้วยการทำงาน โดยนำประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
พล.ต.ท. วรวัฒน์ กล่าวอีกว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีได้กำชับมาแล้วก็จะต้องปฏิบัติให้เต็มที่ โดยมีผลงานเป็นรูปธรรมเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาโดยตลอด ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้ระบุว่าต้องดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 30 วันนั้น เนื่องจากได้เห็นปัญหาความขัดแย้งในช่วงที่ผ่านมาว่าเป็นต้นเหตุ จึงได้มีการกำชับการปฏิบัติให้มีความเข้มมากขึ้น หากไม่สามารถปฏิบัติได้ก็จะต้องพิจารณาตัวเองว่าเราทำไม่ได้