วันนี้ (6 กรกฎาคม) เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ส่วนใหญ่แสดงจุดยืนที่จะไม่โหวต พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ
เศรษฐากล่าวว่า ส่วนตัวไม่มั่นใจว่าประเด็นดังกล่าวชัดเจนขนาดไหน เพราะเห็นทางพิธาเองก็มั่นใจว่าจะรวบรวมเสียงได้ 376 เสียง ตนก็เป็นกำลังใจให้ ส่วนในพรรคเพื่อไทยก็มั่นใจว่าจะโหวตให้พิธา ไม่มีใครแตกแถว
ส่วนกรณีที่ ส.ว. บางคนยืนยันว่าหากเป็นแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยพร้อมสนับสนุน เศรษฐาระบุว่า ส่วนตัวก็ยินดี แต่ในส่วนของ 8 พรรคร่วมรัฐบาลก็มีเสียงอยู่แล้ว 312 เสียง ต้องการอีกประมาณ 60 กว่าเสียงเท่านั้น ซึ่งพิธาก็ยืนยันแล้วว่าจะสามารถรวบรวมเสียงที่เหลือได้
ขณะเดียวกัน ส.ว. ควรจะยึดในหลักการเดิมที่เคยให้ไว้ในตอนแรกคือ จะยกมือให้พรรคที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ แต่ภายหลังที่มีเรื่องมาตรา 112 เป็นเงื่อนไขหลัก ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนพิธาได้นั้น เศรษฐากล่าวว่า เป็นความเห็นของ ส.ว. หลายท่าน แต่ก็มีอีกหลายท่านที่ไม่ออกความเห็น จึงเชื่อว่าในวันที่ 13 กรกฎาคม ส.ว. น่าจะทำตามฉันทามติของประชาชน
ส่วนถ้าในการโหวตครั้งแรกพิธาได้เสียงไม่ถึง ควรที่จะให้โอกาสหรือไม่นั้น เศรษฐาระบุว่า ก็ต้องมาพิจารณาดูว่าคะแนนเสียงที่ได้เป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ควรจะมีการให้โอกาสหากขาดเสียงไปเพียงเล็กน้อย
เมื่อถามว่าหากพิธาไม่ได้ แคนดิเดตนายกฯ จะตกมาเป็นของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เศรษฐากล่าวว่ายังไม่อยากให้ไปมองตรงนั้น เพราะเราอยู่ในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน ต้องโหวตให้กันอยู่แล้ว ตรงนี้อาจไม่เหมาะสมหากจะให้ความเห็นออกไปในทิศทางอื่น
ส่วนพรรคก้าวไกลหากจะไม่ได้เสียง ส.ว. หรือเสียงโหวตอาจไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ควรที่จะถอยให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น เศรษฐากล่าวว่ายังไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลก็ตัวติดกัน มาจากฝ่ายประชาธิปไตย แต่พรรคร่วมก็เซ็นบันทึกข้อตกลง MOU เรียบร้อยแล้ว ประเด็นที่บอกว่าเราจะแยกจากกันนั้นไม่เคยได้ยิน
ทั้งนี้ ช่วงท้ายเมื่อถามย้ำว่า เศรษฐายังยืนยันหนักแน่นที่จะสนับสนุนให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ติดเงื่อนไขที่จะแก้ไขมาตรา 112 เศรษฐากล่าวว่า เราทำตาม MOU ที่ได้ตกลงกันไว้ และไม่สามารถแก้ไข MOU ได้ โดยยืนยันว่าทุกวันนี้ก็ยังจับมือกับพรรคก้าวไกลอยู่ ไม่ได้ติดใจอะไร และยังประชุมร่วมกันอยู่อย่างต่อเนื่อง