Shin Kamen Rider คือภาพยนตร์ฉลองครบรอบ 50 ปีของซีรีส์ Kamen Rider และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 3 จากภาพยนตร์ชุด Shin ที่หยิบนำผลงานฮีโร่โทคุซัทสึสุดคลาสสิกจากญี่ปุ่นมารีบูตใหม่ โดยได้ ฮิเดอากิ อันโนะ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Shin Godzilla (2016) และ Shin Ultraman (2022) มานั่งแท่นผู้กำกับและเขียนบท
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการหยิบนำซีรีส์ Kamen Rider ที่ออกฉายในปี 1971 มาตีความใหม่ บอกเล่าเรื่องราวของ ฮอนโก ทาเคชิ (โซสึเกะ อิเคมัตสึ) หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ถูกองค์กร Shocker ลักพาตัวมาและผ่าตัดเขาให้กลายเป็นมนุษย์ดัดแปลงสุดแกร่ง เพื่อใช้เขาเป็นอาวุธในการครอบครองโลก แต่เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจาก รุริโกะ มิโดริคาวะ (มินามิ ฮามาเบะ) มนุษย์ดัดแปลงที่ทรยศต่อ Shocker จนหนีออกมาได้สำเร็จ ทั้งคู่จึงร่วมมือกันเพื่อขัดขวางแผนการร้ายขององค์กร Shocker
บทความที่เกี่ยวข้อง:
หากนับภาพยนตร์ชุด Shin ทั้ง 3 เรื่องที่ผ่านมา ได้แก่ Shin Godzilla ซึ่งเป็นผลงานการกำกับร่วมกันระหว่าง ฮิเดอากิ อันโนะ และ ชินจิ ฮิงุจิ, Shin Ultraman กำกับโดย ชินจิ ฮิงุจิ และ Shin Kamen Rider ของ ฮิเดอากิ อันโนะ ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า Shin Kamen Rider น่าจะเป็นผลงานที่เราชอบน้อยที่สุด
เอาเข้าจริงๆ Shin Kamen Rider นับว่าเป็นผลงานที่อุดมไปด้วยองค์ประกอบที่มีเสน่ห์และชวนติดตามไม่แพ้สองผลงานก่อนหน้า ไล่เรียงตั้งแต่การออกแบบคาแรกเตอร์ที่เท่ มีเสน่ห์ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของต้นฉบับไว้ได้อย่างครบถ้วน ทั้งมุมกล้อง การใช้ซาวด์เอฟเฟกต์ และดนตรีประกอบที่แฟนๆ ทุกคนคิดถึง บวกด้วยการออกแบบมุมกล้องและกลวิธีนำเสนอที่แปลกตา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้กำกับ
รวมไปถึงการตีความเรื่องราวขึ้นมาใหม่เพื่อยกระดับให้ภาพยนตร์มีความสมจริงสมจังและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าต้นฉบับ โดยเฉพาะการตีความองค์กร Shocker ขึ้นมาให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น พร้อมกับประเด็นสำคัญที่ชวนเราตั้งคำถามว่ามนุษย์เราต้องการแค่ ‘ความสุข’ จริงหรือ
ด้วยองค์ประกอบอันโดดเด่นเหล่านี้ จึงทำให้ในช่วงครึ่งแรกของเรื่องเต็มไปด้วยเรื่องราวและฉากแอ็กชันที่สมจริง ตื่นตาตื่นใจชวนติดตาม ไม่ว่าจะเป็นฉากแปลงร่างครั้งแรกของฮอนโก การต่อสู้ระหว่าง Kamen Rider และปีศาจแมงมุมที่ดุดัน รุนแรง (ขนาดที่ต่อยกันเลือดสาด) การปูเรื่องราวให้เราได้รู้จักกับองค์กร Shocker ไปจนถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่มาที่ไปของผ้าผูกคอสีแดงที่เราคุ้นตาเป็นอย่างดี
แต่เมื่อตัวภาพยนตร์ดำเนินมาถึงกลางเรื่องเป็นต้นมา ก็ดูเหมือนว่าจุดเด่นเหล่านั้นกลับไม่ได้ถูกหยิบมาใช้อย่างเต็มที่ จนทำให้กราฟความน่าติดตามของเรื่องค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
ข้อสังเกตประการแรก (และเป็นข้อที่คล้ายกับ Shin Ultraman) คือการที่ทีมสร้างใส่ฉากแอ็กชันและตัวร้ายเข้ามามากเกินไป โดยหากนับตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องจนจบ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากแอ็กชันคร่าวๆ ประมาณ 6-7 ฉาก
แต่แทนที่ฉากแอ็กชันเหล่านั้นจะเข้ามาเสริมให้ตัวภาพยนตร์สนุกสนานมากขึ้น มันกลับส่งผลอย่างมากต่อ ‘ความต่อเนื่อง’ ของการดำเนินเรื่องที่ถูกขัดจังหวะอยู่บ่อยครั้ง และยังทำให้ภาพยนตร์มีเวลาในการพาผู้ชมไปสำรวจปมปัญหาของตัวละคร (ที่ถูกปูไว้อย่างน่าสนใจตั้งแต่แรก) น้อยลงตามไปด้วย มันจึงส่งผลให้มิติของตัวละครดูเรียบแบนเกินไป ไม่มีจุดที่ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงหรือมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครอย่างที่ควรจะเป็น
อีกหนึ่งข้อสังเกตสำคัญที่ส่งผลให้ความน่าสนใจของภาพยนตร์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด คือการที่ทีมสร้างตัดสินใจใช้วิชวลเอฟเฟกต์ในการสร้างฉากแอ็กชันมากเกินไปจนทำให้ความสมจริงของเรื่องถูกลดทอน
โดยหากย้อนกลับไปในผลงานก่อนหน้าอย่าง Shin Godzilla ที่เล่าถึงสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ถล่มเมือง และ Shin Ultraman ที่เป็นการต่อสู้ของมนุษย์ต่างดาว การใช้วิชวลเอฟเฟกต์ในการสร้างสรรค์ตัวละครและฉากแอ็กชันต่างๆ เพื่อเติมเต็มจินตนาการของทีมสร้าง จึงมีความสมเหตุสมผลและทำให้เราไม่รู้สึกติดขัดมากนัก
แต่สำหรับ Shin Kamen Rider แม้ว่าภาพยนตร์จะว่าด้วยเรื่องราวของมนุษย์ดัดแปลงที่ดูเกินจริงก็ตาม แต่มันก็ถูกวางให้อยู่ในสเกลของมนุษย์ บวกกับมนตร์เสน่ห์สำคัญที่สะดุดตาเรามาตั้งแต่ตัวอย่างคือ ‘ความสมจริง’ ของเรื่อง แต่หลังจากที่ภาพยนตร์ดำเนินมาถึงกลางเรื่อง ผู้กำกับกลับเลือกใช้วิชวลเอฟเฟกต์ในการสร้างฉากแอ็กชันเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะฉากแอ็กชันสุดท้ายที่ผู้กำกับเลือกใช้สถานที่เป็นอุโมงค์ ซึ่งมีบรรยากาศที่มืดเกินไปจนเรามองไม่ออกว่าเหตุการณ์ตรงหน้ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันจึงยิ่งทำให้ความสมจริงที่ควรจะเป็นจุดเด่นของเรื่องถูกลดทอนลงอย่างน่าเสียดาย
ในภาพรวมแล้ว Shin Kamen Rider เป็นภาพยนตร์ที่มีวัตถุดิบชั้นเยี่ยมอยู่อย่างครบถ้วน ทั้งเรื่องราวที่ถูกตีความใหม่ออกมาได้น่าสนใจ การออกแบบคาแรกเตอร์ที่เปี่ยมเสน่ห์ และการรักษาเอกลักษณ์ของต้นฉบับเอาไว้อย่างครบถ้วน แต่ดูเหมือนว่าทีมสร้างจะบาลานซ์วัตถุดิบเหล่านั้นได้ไม่ลงตัวเท่าไรนัก ส่วนที่ควรจะเป็นจุดเด่นของเรื่องกลับไม่ได้ถูกหยิบมาใช้อย่างเต็มที่ มันจึงทำให้ภาพรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูขาดๆ เกินๆ ไปพอสมควร
Shin Kamen Rider มีกำหนดเข้าฉายวันที่ 24 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ที่ร่วมรายการ
รับชมตัวอย่าง Shin Kamen Rider ได้ทาง
ภาพ: Shin_KR / Twitter