SpaceX บริษัทผลิตจรวดและดาวเทียมของ Elon Musk ได้แจ้งพนักงานเมื่อวันศุกร์ (12 ธันวาคม) ว่า บริษัทจะรับซื้อหุ้นคืนจากคนวงใน (Insider Shares) ซึ่งข้อตกลงนี้จะส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าประเมินสูงถึงประมาณ 8 แสนล้านดอลลาร์ หรือ ราว 26 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า บริษัทกำลังเตรียมตัวสำหรับการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า
เบรต จอห์นเซน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ SpaceX ระบุในจดหมายถึงพนักงานว่า บริษัทมีแผนจะรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเป็นมูลค่ารวม 2.56 พันล้านดอลลาร์ ในราคาหุ้นละ 421 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินภายในครั้งก่อนเกือบสองเท่า โดย The New York Times ได้รับมา ระบุว่า ในจดหมายฉบับดังกล่าวที่ได้รับมานั้น จอห์นเซนยังได้กล่าวเป็นนัยถึงความเป็นไปได้ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย
“ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เกิดขึ้นเมื่อใด และที่ระดับมูลค่าเท่าไหร่นั้น ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงมาก แต่แนวคิดก็คือ หากเราดำเนินการได้อย่างยอดเยี่ยมและสภาพตลาดเอื้ออำนวย การทำ IPO ก็น่าจะช่วยระดมเงินทุนได้มหาศาล” จอห์นเซนระบุ
ข้อเสนอในการรับซื้อหุ้นจากพนักงานครั้งนี้ จะทำให้ SpaceX กลายเป็นบริษัทเอกชน (Private Company) ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้าบริษัท AI อย่าง OpenAI ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์ และหาก SpaceX ตัดสินใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จริง ก็คาดว่าจะเป็นหนึ่งในการทำ IPO ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และจะเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลให้กับบรรดาผู้ถือหุ้น
ขณะที่ Bloomberg ได้ระบุว่า บริษัทตั้งเป้าระดมทุนเงินจำนวนมหาศาล สำหรับการพัฒนายานสตาร์ชิป (Starship) และการตั้งฐานดาต้าเซ็นเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ในอวกาศ และดวงจันทร์
ภารกิจดาวอังคาร บททดสอบนักลงทุน
แม้การ IPO ของ SpaceX จะถูกจับตาอย่างมากโดยนักลงทุน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนได้ออกมาเตือนว่า SpaceX เป็นบริษัทที่เน้นการวิจัยและพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งนักลงทุนบางส่วนอาจยอมรับไม่ได้ หากบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การขยายกิจการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ให้มากขึ้น
โดยราคาหุ้นของ Tesla เคยร่วงมาแล้ว เมื่อครั้งหนึ่ง Musk บอกว่า Tesla ไม่ใช่บริษัทยานยนต์ แต่เป็นแพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์
ทางฝั่งของ Caleb Henry นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยด้านอวกาศ Quilty Analytics กล่าวว่า SpaceX ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการที่มีความเสี่ยงสูงมาโดยตลอด และบางโครงการต้องใช้เวลาในการทดลองที่ยาวนาน ซึ่งนักลงทุนต้องยอมรับให้ได้
ขณะที่ด้าน Justus Parmar ซีอีโอของ Fortuna Investments บริษัทร่วมทุนที่ลงทุนใน SpaceX คาดว่า การ IPO จะเกิดขึ้นหลังจาก SpaceX สามารถนำยานสตาร์ชิปไปยังดาวอังคารได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงชิ้นใหญ่ออกไปจากกิจการ โดยกล่าวว่า “จะเกิดผลเสียต่อราคาหุ้นอย่างมาก หาก SpaceX ส่งยานอวกาศไปดาวอังคารไม่สำเร็จ แต่ถ้ายังเป็นบริษัทเอกชน ก็จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น”
อย่างไรก็ตาม Abhi Tripathi อดีตผู้อำนวยการหน่วยแคปซูลบรรทุกนักบินอวกาศ ‘ดรากอน’ ของสเปซเอ็กซ์ มองว่า นักลงทุนจะยอมรับความล้มเหลวของยานอวกาศได้ เมื่อเทียบกับรายได้มหาศาลที่ Starlink สร้างให้กับบริษัท
เดิมพันอนาคตกับโจทย์รายได้ที่ยังต้องพิสูจน์
นอกเหนือจากความเสี่ยงของโครงการสำรวจอวกาศแล้ว นักวิเคราะห์บางรายยังกังขาต่อการประเมินมูลค่ากิจการของ SpaceX ว่าสูงเกินจริง ซึ่งปัจจุบัน SpaceX คาดการณ์รายได้ประจำปีไว้ที่ 15,000 ล้านดอลลาร์ แม้ขนาดตลาดของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมความเร็วสูงจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม
ทั้งนี้ ในทางทฤษฎี SpaceX สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของโลก โดยนำพลังงานจากดวงอาทิตย์มารองรับการตั้งฐานดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ต้องมีการระบายความร้อนที่ดีขึ้น และต้นทุนการปล่อยจรวดที่ต่ำลงอย่างมาก ขณะที่ขยะอวกาศ (Space Debris) ยังเป็นความท้าทายสำคัญที่จะทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น
แม้จะมีความเสี่ยงมากมาย แต่ Shay Boloor หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของ Futurum Equities Research เชื่อว่า นักลงทุนจะอดทนกับความผันผวนของ SpaceX ได้เช่นเดียวกับที่อดทนกับ Tesla
อ้างอิง:


